Business
กรณีศึกษา Marvis ยาสีฟันพรีเมียม ที่ไม่ได้มีดีแค่แพ็กเกจจิง
23 ส.ค. 2021
กรณีศึกษา Marvis ยาสีฟันพรีเมียม ที่ไม่ได้มีดีแค่แพ็กเกจจิง /โดย ลงทุนเกิร์ล
“La Dolce Vita” วลีในภาษาอิตาลี จากชื่อภาพยนตร์อันโด่งดังที่แปลว่า “The Sweet Life” หรือหมายถึงชีวิตอันแสนหวาน เพลิดเพลินแนวสโลว์ไลฟ์ และมีความสุขกับการใช้ชีวิต
ซึ่ง Marvis (มาร์วิส) แบรนด์ยาสีฟันสัญชาติอิตาลี ก็มีแนวคิดเช่นเดียวกับวลีข้างต้น คือ “Fulfill a Moment of Pure Pleasure”
โดยยาสีฟัน Marvis ตั้งใจว่าจะเข้ามาเติมเต็มช่วงเวลา 2-3 นาทีของการแปรงฟันของเรา ให้มีความสุข และกลายเป็นช่วงเวลาล้ำค่า ที่หากจะเรียกว่าเป็นโมเมนต์ La Dolce Vita ก็คงไม่ผิดนัก
ซึ่งถ้าหากพูดถึงยาสีฟันแบรนด์นี้ ก็น่าจะเคยผ่านตาใครหลายคนอยู่บ้าง
ภายใต้แพ็กเกจจิงสีเงินเมทัลลิก ที่มีลวดลายสีสันสะดุดตา
แต่ยังสามารถการันตีด้วยคุณภาพพรีเมียมที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
และยืนหยัดมาอย่างยาวนานกว่า 63 ปี
แต่ยังสามารถการันตีด้วยคุณภาพพรีเมียมที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
และยืนหยัดมาอย่างยาวนานกว่า 63 ปี
เรื่องราวของ Marvis น่าสนใจอย่างไร ?
แล้วยาสีฟันของ Marvis แตกต่างจากยาสีฟันทั่วไปอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
แล้วยาสีฟันของ Marvis แตกต่างจากยาสีฟันทั่วไปอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
แม้ว่าเรื่องราวประวัติดั้งเดิมของ Marvis ส่วนใหญ่จะยังคงเป็นปริศนา
แต่จุดเริ่มต้นของ Marvis อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อปี 1958 ณ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
ซึ่งในปีดังกล่าว แบรนด์ถูกจดทะเบียนครั้งแรก โดยคุณ Earl Franco Cella di Rivaradates
ซึ่งในปีดังกล่าว แบรนด์ถูกจดทะเบียนครั้งแรก โดยคุณ Earl Franco Cella di Rivaradates
โดยชื่อแบรนด์ “Marvis” มาจากการผสมผสานของคำภาษาละติน
คำว่า “Marvel” ที่หมายถึงปาฏิหาริย์ และคำว่า “Vis” ที่หมายถึงความแข็งแกร่ง
คำว่า “Marvel” ที่หมายถึงปาฏิหาริย์ และคำว่า “Vis” ที่หมายถึงความแข็งแกร่ง
ซึ่งจุดประสงค์แรกของแบรนด์ ถูกคิดค้นมาเพื่อแก้ปัญหาคราบฟันเหลืองและกลิ่นลมหายใจ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ และสูบซิการ์โดยเฉพาะ
โดยผลิตภัณฑ์แรกของแบรนด์ คือ “Classic Strong Mint” ยาสีฟันที่มีรสชาติมินต์เข้มข้น และยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของบริษัทมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาในปี 1970 คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัท
ยาสีฟัน Marvis ได้กลายเป็นที่รู้จัก ในฐานะตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้สูบบุหรี่
ยาสีฟัน Marvis ได้กลายเป็นที่รู้จัก ในฐานะตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้สูบบุหรี่
แต่แล้วอยู่ดี ๆ ชื่อของ Marvis ก็จางหายไปจากความนิยมชั่วขณะหนึ่ง
จนกระทั่งในปี 1977 Marvis ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เมื่อ Ludovico Martelli Srl บริษัทเครื่องสำอางในเมืองฟลอเรนซ์ ได้เข้าซื้อแบรนด์นี้ไป
และยังคงไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิมของ Marvis ในการเติมเต็มช่วงเวลาของการแปรงฟัน
โดยมุ่งเน้นไปที่รสชาติของยาสีฟัน ที่จะเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันให้กลายเป็นความสุข
โดยมุ่งเน้นไปที่รสชาติของยาสีฟัน ที่จะเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันให้กลายเป็นความสุข
ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในเรื่องรสชาติมินต์เข้มข้น ตามสูตรดั้งเดิมของแบรนด์
ส่งผลให้ Marvis ก้าวมาอยู่ในตำแหน่งแนวหน้า ของผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในอุตสาหกรรมนี้
ส่งผลให้ Marvis ก้าวมาอยู่ในตำแหน่งแนวหน้า ของผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในอุตสาหกรรมนี้
จากจุดเริ่มต้นในอิตาลี ผลิตภัณฑ์ของ Marvis ก็เริ่มทยอยเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่ฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และอีกมากมาย จนในปัจจุบันมีวางจำหน่ายมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
อ่านมาถึงตรงนี้อาจเริ่มสงสัยกันแล้วว่า
แล้วทำไมยาสีฟันของ Marvis จึงโดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางผู้เล่นมากมายในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก ?
แล้วทำไมยาสีฟันของ Marvis จึงโดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางผู้เล่นมากมายในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก ?
อย่างแรกคือ รสชาติและกลิ่นที่แปลกใหม่ ที่ให้รสสัมผัสที่แตกต่างกัน
ซึ่งทุกรสชาติจะมีพื้นฐานมาจากรสชาติมินต์ ที่มีสัดส่วนแตกต่างกันถึง 10 กลิ่น
ซึ่งทุกรสชาติจะมีพื้นฐานมาจากรสชาติมินต์ ที่มีสัดส่วนแตกต่างกันถึง 10 กลิ่น
นอกเหนือจากรสมินต์คลาสสิกของแบรนด์ ยังมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Marvis เช่น
“Black Forest” กลิ่นขนมเค้กเชอร์รี ดาร์กช็อกโกแลต จากคอลเลกชันการผสมผสานของกลิ่นที่มีแรงบันดาลใจจากเมนูบนโต๊ะอาหาร สวนผัก และพันธุ์ไม้หลังบ้าน
ไปจนถึง “Rambas” หรือกลิ่นการเดินทางผ่านหมู่เกาะทะเลเขตร้อน จากคอลเลกชันที่มีแรงบันดาลใจจากการเดินทางรอบโลก เสมือนว่าทุกครั้งที่หยิบแปรงคือการได้ย้อนเวลากลับไปเดินทางอีกครั้ง
อย่างที่สอง คือ Marvis ยังเป็นที่รู้จักในด้านรูปลักษณ์ที่โดดเด่นร่วมสมัย
ด้วยแพ็กเกจจิงสีเงินเมทัลลิก ผสมผสานกับสไตล์เรโทรคลาสสิกบนหลอดอะลูมิเนียม ที่มีดีไซน์พร้อมฝาปิดสวยงาม เหมือนได้เสพงานศิลปะชั้นดีชิ้นหนึ่ง ทุกครั้งที่เดินเข้าห้องน้ำ
ด้วยแพ็กเกจจิงสีเงินเมทัลลิก ผสมผสานกับสไตล์เรโทรคลาสสิกบนหลอดอะลูมิเนียม ที่มีดีไซน์พร้อมฝาปิดสวยงาม เหมือนได้เสพงานศิลปะชั้นดีชิ้นหนึ่ง ทุกครั้งที่เดินเข้าห้องน้ำ
ที่น่าสนใจคือ Marvis ไม่ได้เพียงส่งมอบสุขภาพช่องปากที่ดีเท่านั้น แต่แบรนด์ยังเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
สังเกตได้จากจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่คิดมา เพื่อแก้ปัญหาคราบฟันจากการดื่มไวน์ รวมถึงคราบจาก ชา กาแฟ และบุหรี่
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าชาวอิตาลีเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มชาหรือกาแฟ สูบบุหรี่ และจิบไวน์กันเป็นกิจวัตร
และ Marvis ยังมองลึกไปถึงว่าการที่ต้องทำกิจวัตรเดิม ๆ ทุกวันอย่างการแปรงฟัน อาจทำให้บางคนเบื่อหน่ายกับยาสีฟันได้
ดังนั้น Marvis ที่เข้าใจผู้บริโภคเป็นอย่างดี จึงคัดสรรผลิตภัณฑ์ยาสีฟันที่แตกต่างกันถึง 10 กลิ่น ทำให้สามารถเปลี่ยนกลิ่นไปตามอารมณ์ในแต่ละวันได้
ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภค ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุขขณะแปรงฟัน
และอย่างสุดท้ายก็คือ การโฆษณาที่แหวกแนว
ในขณะที่แบรนด์อื่นมักจะใช้นางแบบโชว์ฟันขาว และสื่อถึงกลิ่นหอมสดชื่นของผลิตภัณฑ์โดยตรง
แต่ภาพโฆษณาสิ่งพิมพ์ของ Marvis ได้สื่อออกมาในลักษณะแตกต่างออกไป เช่น
แต่ภาพโฆษณาสิ่งพิมพ์ของ Marvis ได้สื่อออกมาในลักษณะแตกต่างออกไป เช่น
ภาพหลอดยาสีฟัน ที่เป็นเหมือนลูกกลิ้งทาสีขาว ประกอบกับข้อความ “Marvis is whitening”
ภาพหลอดยาสีฟัน Marvis เหมือนเป็นปลาในถุงพลาสติกใส่น้ำ ประกอบกับข้อความ “Marvis is refreshing”
หรือภาพที่นำหลอดยาสีฟัน Marvis ใส่ไว้ในเครื่องทำเส้นพาสต้าแบบมือหมุน ประกอบกับข้อความ “Marvis is the original italian paste” เพื่อสื่อถึงความเป็นแบรนด์ต้นตำรับจากอิตาลี
มากไปกว่านั้น Marvis ยังได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังในการดีไซน์ผลงาน ไม่ว่าจะเป็น John Holcroft, Tyler Spangler และ Lucas Doerre
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าทุกอย่างของ Marvis นั้นผ่านการคิด และสะท้อนตัวตนของแบรนด์เป็นอย่างดี
ทั้งหมดนี้เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Marvis ถึงทำให้ของใช้ประจำวันที่ดูเหมือนจะธรรมดาอย่างยาสีฟัน กลายเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาและพิเศษขึ้นมาได้
สุดท้ายนี้เรื่องราวของแบรนด์ Marvis อาจทำให้เราได้เห็นอีกมุมมอง
ในขณะที่ทุกแบรนด์ต้องการที่จะอำนวยความสะดวก
ให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างรวดเร็วและเร่งรีบ
แต่ Marvis กลับบอกให้เราใช้ชีวิตช้าลงสักหน่อย
และหันมาดื่มด่ำกับช่วงเวลาสั้น ๆ ในทุก ๆ วันบ้าง..
ให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างรวดเร็วและเร่งรีบ
แต่ Marvis กลับบอกให้เราใช้ชีวิตช้าลงสักหน่อย
และหันมาดื่มด่ำกับช่วงเวลาสั้น ๆ ในทุก ๆ วันบ้าง..
References:
-http://marvis.co.uk/marvis-brand-history.html
-https://schafi-shop.de/en/marvis/
-https://www.highsnobiety.com/p/second-look-marvis-toothpaste/
-https://www.mensgroomingcompany.co.uk/journal/post/marvis-an-introduction.html
-https://marvisthailand.com/th/%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%84%e0%b8%8b%e0%b8%99%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b9%8b%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%9f%e0%b8%b1%e0%b8%99-marvis-%e0%b8%a1%e0%b8%b5/
-http://marvis.co.uk/marvis-brand-history.html
-https://schafi-shop.de/en/marvis/
-https://www.highsnobiety.com/p/second-look-marvis-toothpaste/
-https://www.mensgroomingcompany.co.uk/journal/post/marvis-an-introduction.html
-https://marvisthailand.com/th/%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%84%e0%b8%8b%e0%b8%99%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b9%8b%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%9f%e0%b8%b1%e0%b8%99-marvis-%e0%b8%a1%e0%b8%b5/