กรณีศึกษา ทามาก็อตจิ ของเล่นยุค 90 ที่ปัจจุบันยังขายได้ 82 ล้านเครื่อง
Business

กรณีศึกษา ทามาก็อตจิ ของเล่นยุค 90 ที่ปัจจุบันยังขายได้ 82 ล้านเครื่อง

2 ก.พ. 2023
กรณีศึกษา ทามาก็อตจิ ของเล่นยุค 90 ที่ปัจจุบันยังขายได้ 82 ล้านเครื่อง /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ว่า ทามาก็อตจิถือเป็นเกมยุคแรก ๆ ที่ใส่แนวคิดเรื่องความตาย และการจากลาลงไปในตัวเกม
ที่น่าสนใจคือ แม้ทามาก็อตจิจะรุกตลาดมาตั้งแต่ยุค 90
แต่กลับสามารถผ่านร้อน ผ่านหนาวมาได้ทุกยุค
ตั้งแต่ยุคอินเทอร์เน็ต ยุคดิจิทัล จนมาถึงยุคที่ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทกับเรามากขึ้น
แล้วอะไรทำให้เกมทามาก็อตจิ ถึงยังไม่ถูกดิสรัปต์ ?
และจุดเริ่มต้นของทามาก็อตจิ น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ทามาก็อตจิ ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1996 หรือ 27 ปีที่แล้ว
โดยผู้ที่ให้กำเนิด ก็คือคุณ Akihiro Yokoi อดีตนักออกแบบของเล่นที่เคยทำงานให้บริษัท BANDAI ผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาจะออกมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง
ซึ่งคุณ Yokoi ได้ใส่แนวคิดเรื่อง “การจากลา” เมื่อถึงคราวที่สัตว์เลี้ยงต้องกลับบ้านเก่า หลังโลกแห่งความตาย
เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง “ความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูสัตว์” เพราะในโลกความจริง หากเจ้าของละเลยการเอาใจใส่ ก็จะทำให้พวกมันเจ็บป่วย มีอายุสั้นลง และจากโลกนี้ไป
อีกทั้งแนวคิดเรื่องการลาจากนี้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ สำหรับเกมในยุคสมัยนั้นเลยทีเดียว
และเมื่อคุณ Yokoi ได้วางแนวคิดของเกมเรียบร้อยแล้ว
แต่แทนที่เขาจะผลิตมันขึ้นมาเอง เขากลับนำไอเดียนี้ไปเสนอให้กับบริษัท BANDAI เพื่อร่วมมือกันผลิตและจำหน่าย เจ้าก้อนไข่ทามาก็อตจิออกสู่ชาวโลก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการตลาดทาง BANDAI ได้ส่งคุณ Aki Maita นักการตลาดของบริษัท มาช่วยสำรวจตลาดก่อนวางขาย ซึ่งผลปรากฏว่าทามาก็อตจิ เป็นที่ถูกอกถูกใจกลุ่มผู้หญิงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสาววัยรุ่น
ซึ่งหลังจากมั่นใจแล้วว่า ไอเดียนี้สามารถขายได้จริง
ทาง BANDAI ก็เริ่มเปิดวางขายจริงในปี 1996
และไม่น่าเชื่อว่าทามาก็อตจิจะฮอตฮิต
จนถูกขายไปแล้วกว่า 10 ล้านเครื่องในญี่ปุ่น ในเวลาไม่ถึงปี
ต่อมาในปี 1997 ทาง BANDAI จึงเริ่มขยายตลาดไปทั่วโลก
ซึ่งตลาดนี้ก็ฮิตร้อนแรงไม่แพ้กัน
อย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา
ทามาก็อตจิสามารถขายได้เร็วสุดเฉลี่ย 15 เครื่อง/วินาที
จนในปีนั้น BANDAI กวาดยอดขายไปกว่า 70 ล้านเครื่องทั่วโลกกันเลยทีเดียว
สำหรับในปัจจุบัน
ทามาก็อตจิก็ยังคงได้รับความนิยมจากทั้งในญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
โดยในปี 2021 ทามาก็อตจิทำยอดขายไปแล้วกว่า 82 ล้านเครื่องทั่วโลก
ดังนั้น คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไม ทามาก็อตจิ ถึงยังขายได้ ในวันที่โลกเราก็มีทั้ง วิดีโอเกม, เกมคอนโซล หรือแพลตฟอร์มเกมมากมาย ?
ประเด็นแรกเลยก็คือ รักษาแก่นของคอนเซปต์เกม
อย่างที่ทราบกันดีว่า คอนเซปต์หลักของทามาก็อตจิ คือ การเลี้ยงดูเหล่าทามาก็อตจิ ให้ค่อย ๆ เติบโตทีละช่วงวัย
ดังนั้น มันจึงเป็นเสน่ห์สำคัญ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี คอนเซปต์นี้ก็ยังคงสามารถดึงดูดสัญชาตญาณการเลี้ยงดูของมนุษย์ และเติมเต็มความรู้สึกของการได้มีสัตว์เลี้ยง หรือเพื่อนในจินตนาการได้
ประกอบกับยังคงออกแบบให้ขนาดตัวเครื่องเล็กกะทัดรัด พกพาง่าย อีกทั้งตัวเกมก็ไม่ได้ซับซ้อนเกินไป จึงทำให้ทามาก็อตจิกลายเป็นของเล่นที่เข้าถึงได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่
ประเด็นที่สาม คือ เจาะกลุ่มผู้ลูกค้า ผู้ใหญ่ แต่หัวใจเด็ก
ด้วยการจับมือกับการ์ตูน ศิลปิน และหนังดัง เช่น
ONE PIECE, SPY×FAMILY, Star Wars ไปจนถึง BT21 การ์ตูนของหนุ่ม ๆ จากวง BTS
เนื่องจากแครักเตอร์เหล่านี้ มีกลุ่มแฟนคลับที่เหนียวแน่น และส่วนใหญ่ยังเป็นวัยที่ “มีกำลังซื้อ” อีกด้วย
ประเด็นที่สี่ คือ ไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ แต่เลือกปรับตัวไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น
-ปี 2018 BANDAI ได้พัฒนาแอป My Tamagotchi Forever ให้สามารถเล่นได้บนมือถือแบบฟรี ๆ แต่บริษัทจะทำเงินจาก ค่าโฆษณา และการเติมเงิน เพื่อซื้อของในเกม
-ปี 2021 ซึ่งครบรอบ 25 ปีของทามาก็อตจิ
บริษัทจึงได้ออกสินค้าใหม่เป็น Tamagotchi Smart
ซึ่งมาอยู่ในรูปแบบนาฬิกาข้อมือ และมีไมค์โครโฟนให้ผู้เล่นสามารถพูดคุย หรือสั่งการสัตว์เลี้ยงด้วยเสียงได้โดยตรง
รวมถึงมันยังสามารถใช้เป็นอุปกรณ์นับก้าว และดูเวลาได้ด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทยังออกสินค้าอีกชิ้น อย่าง Tama SmaCard ซึ่งจะมาในลักษณะคล้าย ๆ แฟลชไดรฟ์อันจิ๋ว ที่เมื่อนำมาเสียบเข้ากับ Tamagotchi Smart ก็จะสามารถเปลี่ยนธีมการตกแต่งห้อง, ดาวน์โหลดไอเทม และเกมต่าง ๆ ซึ่ง Tama SmaCard แต่ละแบบ ก็จะมีไอเทม และธีมที่แตกต่างกันไป
ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เพราะมันคือการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ Customize สินค้าตามสไตล์ที่ชอบ และยังกระตุ้นยอดขายได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ลูกค้าซื้อเครื่องทามาก็อตจิใหม่อีกด้วย
เรียกได้ว่า บริษัทผู้ผลิตอย่าง BANDAI ได้พยายามปรับตัวให้หลากหลายกระบวนท่า เพื่อให้เหล่าทามาก็อตจิยังคงอยู่รอด ในยุคที่โลกเริ่มขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
ซึ่งสิ่งที่เราอาจได้เรียนรู้จาก ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ อย่าง ทามาก็อตจิ ก็คือ ถึงแม้ว่า สินค้าจะอยู่มานาน แต่ความเก่า กลับไม่ได้ทำให้พวกมันตกยุคสมัย เพียงแต่เราต้องเรียนรู้ที่จะพัฒนาไปให้ทันกับโลก และพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไป
แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ จนวันนี้ผ่านมา 27 ปี ทามาก็อตจิก็ยังคงไม่จางหายไปไหน และยังคงเป็นของเล่นชิ้นโปรดของใคร อีกหลายต่อหลายคน..
ปิดท้าย ด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ในตอนแรก ทามาก็อตจิ ถูกออกแบบให้เป็น นาฬิกาข้อมือ ตามที่มาของชื่อ “Tamagotchi” ที่เป็นคำผสมระหว่างคำว่า Tamago (ไข่) กับคำว่า Uotchi (นาฬิกา)
แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่เกินไป จึงตัดสินใจออกแบบมาในรูปพวงกุญแจจิ๋ว ขนาดพกพาแทน
-----------------------------------------------------------------------
(ad)กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป (TANACHIRA) เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่นแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศได้แก่ Pandora (แพนดอร่า), Marimekko (มารีเมกโกะ), Cath Kidston (แคท คิดสตัน) และเจ้าของผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลผิวพรรณ สปาแบบองค์รวมรายแรกในไทยภายใต้แบรนด์ HARNN (หาญ), VUUDH (วุฒิ), HARNN Heritage Spa (หาญ เฮอริเทจสปา) และ SCape by HARNN (เอสเคป บาย หาญ) มีสาขาอยู่ทั่วประเทศและในภูมิภาคกว่า 165 สาขา ภายใต้แนวคิด “Bring the Best of the Brand to the Best of Thailand”
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/
#TANACHIRA
-----------------------------------------------------------------------
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.