Business
เรียนรู้ การสร้างธุรกิจที่เรียบง่าย แต่ยอดขาย 70 ล้าน ของ CEO วัย 16 ปี
21 ส.ค. 2021
เรียนรู้ การสร้างธุรกิจที่เรียบง่าย แต่ยอดขาย 70 ล้าน ของ CEO วัย 16 ปี /โดย ลงทุนเกิร์ล
ช่วงนี้การผันตัวมาเป็น “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำให้ยอดขายของร้านถึงหลักหลายสิบล้าน
และที่น่าสนใจคือ มีผู้ที่ทำได้ และเขายังมีอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น
แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำให้ยอดขายของร้านถึงหลักหลายสิบล้าน
และที่น่าสนใจคือ มีผู้ที่ทำได้ และเขายังมีอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น
เรื่องราวของเด็กอายุ 16 ปีคนนี้เป็นอย่างไร ?
เขาขายอะไร ถึงมียอดขายเยอะขนาดนี้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
เขาขายอะไร ถึงมียอดขายเยอะขนาดนี้ ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ตอนเด็ก ๆ การซื้อของมาแล้วนำมาขายต่อเพื่อนในห้อง เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นปกติ และเชื่อว่าหลาย ๆ คน ก็น่าจะเคยผ่านประสบการณ์นี้กันมาบ้าง
สำหรับเด็กชายวัย 16 ปี ที่ชื่อว่า Max Hayden เองก็เช่นกัน
เขาเป็นเด็กมัธยมปลายจากโรงเรียน Hopewell Valley Central ในรัฐนิวเจอร์ซีย์
เขาเป็นเด็กมัธยมปลายจากโรงเรียน Hopewell Valley Central ในรัฐนิวเจอร์ซีย์
แต่ความน่าสนใจของเขามันอยู่ตรงที่ว่า Max Hayden สามารถทำให้ธุรกิจในยามว่างนี้ กลายเป็นธุรกิจที่มีกำไรถึง 7 หลัก
โดยสิ่งที่เขาทำ แม้ว่าอาจจะต่างจากวัยเด็กของเราเล็กน้อยตรงที่ แทนที่จะนำไปขายเพื่อน ก็มาเปิดร้านบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแทน และสิ่งที่นำมาขายก็เป็นของที่เรารู้ว่ามันจะขายดีอยู่แล้ว หรือ “ของที่มีความต้องการสูง”
แต่เราก็คงต้องยอมรับความสามารถ ในการอ่านเกมของ Max Hayden เพราะในปี 2020 ที่ผ่านมา เขาทำยอดขายไปได้เกือบ 70 ล้าน และเมื่อหักต้นทุนหลัก ๆ อย่างค่าสินค้าและค่าขนส่งออกไป เขาก็ยังมีกำไรกว่า 3 ล้านบาท
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Max Hayden ตัดสินใจจดทะเบียนบริษัทอย่างจริงจัง ภายใต้ชื่อ MH Book Store และเขาในวัย 16 ปี ก็ได้ขึ้นนั่งเป็นตำแหน่ง CEO
จริง ๆ แล้ว Max Hayden มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็ก
เขาเริ่มขายของเล่นใน eBay ตอนอยู่เกรด 5 หรือเทียบเท่าประมาณชั้นประถม 5 ต่อมาก็นำลูกกวาดกับ Fidget Spinner แก็ดเจ็ตช่วยฝึกสมาธิ ที่เคยฮิตอยู่ช่วงหนึ่ง มาขายเพื่อนในห้อง
ซึ่ง Max Hayden ได้เล่าว่า จากเรื่องนั้นทำให้เขาโดนกักบริเวณอยู่ 2-3 ครั้ง จนสุดท้ายเขาจึงเปลี่ยนไปขายตามงานแฟร์และช่องทางออนไลน์แทน
Max Hayden เริ่มมาขายของออนไลน์อย่างเป็นจริงเป็นจังก็เมื่อ ปี 2019 โดยเริ่มจากการนำเงินที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดประมาณ 10,000 บาท มาเป็นทุนตั้งต้น และซื้อของที่กำลังเป็นที่นิยม เช่น รองเท้ากีฬา มาขายต่อ
ที่น่าสนใจคือ สินค้าหลาย ๆ อย่างที่ Max Hayden เลือกมา มีราคาขายต่อที่สูงเป็นเท่าตัว เมื่อเทียบกับราคาป้าย และบางครั้งอาจได้มากถึง 4 เท่า หากเป็นที่นิยมมาก ๆ
จริง ๆ หลักการนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่คำถามคงเป็นว่า แล้ว Max Hayden รู้ได้อย่างไร ว่าสินค้าไหนกำลังจะเป็นที่นิยม
แต่คำถามคงเป็นว่า แล้ว Max Hayden รู้ได้อย่างไร ว่าสินค้าไหนกำลังจะเป็นที่นิยม
Max Hayden เล่าว่าเวลาส่วนใหญ่ของเขา หมดไปกับการหาว่า “สินค้าอะไร” น่านำมาขาย แทนที่จะไปดูที่ “ราคาของสินค้า”
โดยเขาอาศัยการศึกษาข้อมูล ที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมีให้ร้านค้า รวมถึงกลุ่มสนทนาใน Discord ที่มีบรรดาผู้หาของมาขาย มาแบ่งปันทริกต่าง ๆ ในการเลือกสินค้า
ซึ่งแม้ว่ากลุ่มเหล่านี้จะมีค่าสมาชิกประมาณ 600-3,300 บาทต่อเดือน/ต่อกลุ่ม แต่ Max Hayden ก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะจ่าย เพื่อแลกมาด้วยข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์
ในช่วงที่วิกฤติโรคระบาดเริ่มต้น Max Hayden ก็เลือก Nintendo Switch อุปกรณ์เว็บแคม และพวกสินค้าเกี่ยวกับการทำกิจกรรมในบ้าน เช่น จักรเย็บผ้าและเครื่องทำขนมปัง รวมถึงสระน้ำเป่าลม โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนตระเวนไปตามซูเปอร์มาร์เกต และซื้อสินค้ามาตุนไว้ขาย ซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี
ส่วนเมื่อเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง เขาก็เริ่มขายเครื่องทำความร้อนแบบเอาต์ดอร์ เนื่องจากมองว่าคนจะเริ่มออกมารวมตัวสังสรรค์กันในสวน นั่นจึงทำให้ร้านของเขาขายดีอีกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ Max Hayden ยึดถือและเป็นข้อแตกต่างจากร้านค้าอื่น ๆ ก็คือ เราจะขายสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น โดยไม่ฉวยโอกาสขายสินค้าจำเป็น อย่างเช่น พวกถุงมือ หรือเจลล้างมือ เป็นอันขาด
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น Max Hayden ก็ยังโดนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการนำสินค้ามาขายในราคาที่แพงกว่าป้ายอยู่ดี
โดยเรื่องนี้ Max Hayden ให้คำตอบเอาไว้ว่า ตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนราคาและความต้องการสินค้า ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ที่เห็นโอกาส และคว้ามันไว้เท่านั้น
เช่นเดียวกับเรื่องที่ธุรกิจของเขาเติบโต Max Hayden ก็ตระหนักอยู่เสมอว่า ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลพวงมาจาก วิกฤติโรคระบาด ที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจออนไลน์
ซึ่งเขาเองไม่ได้ชื่นชอบสถานการณ์โควิด 19 ที่เป็นอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธโอกาสที่ลอยมาอยู่ตรงหน้านี้เช่นกัน
ถ้าเห็นแค่นี้คงคิดว่าเป็นความคิดของผู้ประกอบการ ไม่ใช่เด็กอายุ 16 ปี..
แต่มุมมองที่น่าสนใจของ Max Hayden ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะเขายังคิดเรื่อง “การต่อยอดธุรกิจ” โดยนำกำไรส่วนใหญ่หลังจากหักต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กลับเข้ามาเป็นทุน เพื่อทำให้ธุรกิจเดินหน้าและขยายต่อไปได้เรื่อย ๆ
จนในปี 2020 ธุรกิจของ Max Hayden ก็ยังคงไปได้ด้วยดี
โดยปกติเขาจะใช้เวลายามเช้าไปกับการอ่านข้อความและจัดการคำสั่งซื้อ ส่วนตอนบ่ายก็แพ็กและส่งสินค้า ซึ่งก็เติบโตจนต้องจ้างเพื่อนมาช่วย
โดยปกติเขาจะใช้เวลายามเช้าไปกับการอ่านข้อความและจัดการคำสั่งซื้อ ส่วนตอนบ่ายก็แพ็กและส่งสินค้า ซึ่งก็เติบโตจนต้องจ้างเพื่อนมาช่วย
อาศัยโรงรถของที่บ้านเป็นที่เก็บของ และแชร์โกดังแถว ๆ นั้นกับผู้ขายคนอื่นที่เจอกันในโลกออนไลน์
อย่างไรก็ตามเมื่อดูยอดขายในครึ่งปีแรกของปี 2021 กลับอยู่ที่ประมาณ 17 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 1 ส่วน 4 ของยอดขายในปี 2020
ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เพราะว่าธุรกิจซบเซา แต่เป็นเพราะตอนนี้ Max Hayden อยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้ายแล้ว เขาจึงแบ่งเวลามาให้กับการเรียนมากขึ้น เนื่องจากเขามองว่าความสำเร็จในห้องเรียนก็สำคัญกับอนาคตไม่แพ้กัน และอาจจะมากกว่าความสำเร็จของธุรกิจตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งกลับไปให้กับการเรียน จนถึงขั้นหยุดขายสินค้าไปบางช่วง ก่อนจะกลับมาทำอีกครั้งในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า Max Hayden ไปเรียนรู้หลักพื้นฐานในการเป็นผู้ประกอบการเหล่านี้มาจากไหน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งพื้นฐานที่เรามองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องอย่าลืมว่าเขายังเป็นเพียงเด็กมัธยมเท่านั้น
คำตอบของ Max Hayden ก็คือ “YouTube”
โดยในช่วงมัธยมต้น เขาชอบดูคลิปผู้ประกอบการอายุน้อยคนอื่น ๆ ที่มาแชร์เรื่องราว และหนึ่งในนั้นเขาก็เจอเรื่องคนที่ขายลูกกวาด นั่นจึงทำให้เขาทดลองขายลูกกวาดดูบ้าง
เมื่ออายุมากขึ้น เขาก็เริ่มสนใจเรื่องอีคอมเมิร์ซ ซึ่ง Max Hayden ก็เรียนรู้จากโลกออนไลน์อีกครั้ง เช่น อัตราการทำกำไรคืออะไร หรือการสร้างความต่างให้กับธุรกิจต้องทำอย่างไร
ซึ่งก้าวต่อไปของ Max Hayden ในตอนนี้ ก็คือ “การเข้ามหาวิทยาลัย”
โดยเขาสนใจในด้านการจัดการข้อมูลระบบสารสนเทศ
เพราะเหมือนเป็นจุดเชื่อมระหว่างข้อมูล วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และโลกของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน..
โดยเขาสนใจในด้านการจัดการข้อมูลระบบสารสนเทศ
เพราะเหมือนเป็นจุดเชื่อมระหว่างข้อมูล วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และโลกของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน..