Business
มหากาพย์ เส้นทางของ Dior รอยร้าวกับ YSL สู่จุดเริ่มต้นของอาณาจักร LVMH
14 ส.ค. 2021
มหากาพย์ เส้นทางของ Dior รอยร้าวกับ YSL สู่จุดเริ่มต้นของอาณาจักร LVMH /โดย ลงทุนเกิร์ล
Dior หนึ่งในแบรนด์หรูระดับโลก ที่ชีวิตของผู้ก่อตั้งอาจไม่ได้หรูหรานัก
แม้จะเกิดในตระกูลที่มีฐานะ แต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว
ต้องเผชิญความสูญเสียอยู่หลายครั้ง กว่าจะได้เดินตามฝันก็อายุมากแล้ว
ที่สำคัญคือ ครองความสำเร็จอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องมาด่วนจากโลกนี้ไป
แม้จะเกิดในตระกูลที่มีฐานะ แต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว
ต้องเผชิญความสูญเสียอยู่หลายครั้ง กว่าจะได้เดินตามฝันก็อายุมากแล้ว
ที่สำคัญคือ ครองความสำเร็จอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องมาด่วนจากโลกนี้ไป
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของแบรนด์ Dior กลับไม่ได้จบตามชีวิตของ Christian Dior ผู้ก่อตั้ง
เกิดอะไรขึ้นระหว่าง Dior และ Yves Saint Laurent ?
แล้ว Dior กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักร LVMH ได้อย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
แล้ว Dior กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักร LVMH ได้อย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
เราจะเริ่มกันที่เส้นทางก่อนจะมาเป็น Dior
ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dior คือ คุณ Christian Dior
ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dior คือ คุณ Christian Dior
คุณ Christian Dior เป็นลูกชายในตระกูลค้าปุ๋ยที่ร่ำรวย ของประเทศฝรั่งเศส
เขาชื่นชอบศิลปะมาตั้งแต่วัยเด็ก และฝันอยากที่จะเป็นสถาปนิก
เขาชื่นชอบศิลปะมาตั้งแต่วัยเด็ก และฝันอยากที่จะเป็นสถาปนิก
แต่ครอบครัวของเขา กลับต้องการให้คุณ Christian Dior เติบโตไปเป็นนักการทูต ดังนั้นในปี 1925 เขาในวัย 20 ปี จึงได้เข้าเรียนด้านรัฐศาสตร์ ที่ École des Sciences Politiques
แต่หลังจากเรียนจบ เขากลับไม่ยอมเลือกเดินไปตามทางที่ครอบครัวปูไว้ให้
คุณ Christian Dior ได้หันมาเปิดแกลเลอรีเล็ก ๆ โดยอาศัยเงินทุนที่ขอยืมมาจากครอบครัว ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า “ห้ามมีชื่อของตระกูล Dior” เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้
แต่แกลเลอรีของคุณ Christian Dior ก็มีโอกาสได้วางขายผลงานของศิลปินชื่อดังหลาย ๆ คน หนึ่งในนั้นก็คือ ปาโบล ปิกัสโซ
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมรสุมในชีวิตของคุณ Christian Dior ก็เริ่มก่อตัวขึ้น
เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่หรือ The Great Depression ทำให้ในปี 1931 เขาต้องจำใจปิดกิจการแกลเลอรีของเขาลง
และก็เรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่ชีวิตของเขาตกต่ำสุด ๆ เพราะนอกจากจะเสียธุรกิจที่รักไปแล้ว ยังต้องสูญเสียทั้งพี่ชายและแม่ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมทั้งธุรกิจของครอบครัวก็ดันมาล้มละลายในช่วงเวลานี้อีกด้วย
แต่นี่กลับเป็นโอกาสให้คุณ Christian Dior เดินเข้าสู่วงการแฟชั่นอย่างเต็มตัว
เขาเริ่มจากการรับจ้างออกแบบไปเรื่อย ๆ ซึ่งด้วยความที่ชื่นชอบด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ประกอบกับพรสววรค์ที่มีในตัว ผลงานของคุณ Christian Dior จึงได้ไปเข้าตาดีไซเนอร์ชื่อดัง และได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้ช่วยของ Robert Piguet
แม้ว่าด้วยวัย 30 กว่าปี จะเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างช้า แต่เขาก็ค่อย ๆ พิสูจน์ตัวเองจากการสร้างสรรค์ผลงาน ทำให้ชื่อเสียงของคุณ Christian Dior เป็นที่ยอมรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ขณะที่เส้นทางชีวิตของเขากำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างก็กลับสะดุดลงอีกครั้ง
เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังปะทุอย่างดุเดือด ทำให้เขาถูกเรียกไปเป็นทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังปะทุอย่างดุเดือด ทำให้เขาถูกเรียกไปเป็นทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กว่าจะได้ปลดประจำการ ก็ปี 1940 ซึ่งอายุของคุณ Christian Dior ก็ย่างเข้า 35 ปีแล้ว
แต่เขาก็ยังกลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เข้าทำงานกับอีกหนึ่งดีไซเนอร์ชื่อดัง Lucien Lelong ก่อนจะมาเริ่มต้นแบรนด์ของตัวเอง ในช่วงปลายปี 1946 ด้วยอาศัยการสนับสนุนเงินทุนของ Marcel Boussac พ่อค้าผ้าฝ้ายรายใหญ่
หลังจากนั้น 3 เดือน แบรนด์ Dior ก็ได้ออกคอลเลกชันแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1947 และก็ได้รับการขนานนามว่าเป็น “New Look” หรือสไตล์ที่เป็น “โฉมใหม่” ของวงการแฟชั่นเลยทีเดียว
ด้วยการนำเสนอที่แปลกใหม่แต่ยังหรูหรา จนอาจเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นในสมัยนั้น ทำให้ Dior สร้างชื่อได้ภายในเวลาไม่นาน
ชุดของ Dior ได้รับความสนใจจากเซเลบริตีคนดัง ไปจนถึงราชวงศ์อังกฤษ ที่ถึงขั้นเชิญตัวเขาเข้าวังแบบส่วนตัว
ในขณะเดียวกัน Dior ก็มีการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์อื่น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้ำหอม Miss Dior อันโด่งดัง ที่ยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปี 1955 คุณ Christian Dior ก็ได้พบกับคุณ Yves Saint Laurent วัย 19 ปี ที่เขาเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์
และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ทำให้หลังจากนั้นเพียง 2 ปี คุณ Christian Dior ก็ไปพบกับคุณแม่ของคุณ Yves Saint Laurent เพื่อบอกว่าจะให้เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของแบรนด์
แม้ว่าจะดูเร็วไปสำหรับคนที่อายุเพียง 52 ปี ที่จะมองหาผู้สืบทอด แต่ก็ดูเหมือนว่าคุณ Christian Dior จะรู้ล่วงหน้า เพราะหลังจากนั้นไม่กี่เดือน เขาก็ด่วนจากไป จากอาการหัวใจวาย
ซึ่งเท่ากับว่าคุณ Christian Dior อยู่กับความสำเร็จของแบรนด์ ที่สร้างมากับมือแค่ 10 ปีเท่านั้น..
แน่นอนว่า เรื่องราวของแบรนด์ Dior ยังไม่จบเพียงเท่านี้
เพราะหลังจากนั้นคุณ Yves Saint Laurent ในวัย 21 ปี ก็ได้มารับช่วงต่อในฐานะหัวหน้าดีไซเนอร์ของแบรนด์ต่อจากคุณ Christian Dior
เพราะหลังจากนั้นคุณ Yves Saint Laurent ในวัย 21 ปี ก็ได้มารับช่วงต่อในฐานะหัวหน้าดีไซเนอร์ของแบรนด์ต่อจากคุณ Christian Dior
โดยคอลเลกชันแรกภายใต้การนำของคุณ Yves Saint Laurent ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
แต่ก็เป็นเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น เนื่องจากพอคอลเลกชันต่อ ๆ มา เสียงตอบรับที่ได้กลับไม่ค่อยดี แถมยังโดนวิพากษ์วิจารณ์จากสื่ออยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งในปี 1960 คุณ Yves Saint Laurent ก็ถูกเกณฑ์ทหาร
โดยเรื่องนี้จริง ๆ แล้วก็ดูเหมือนจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่บ้าง เพราะมีข่าวลือก่อนหน้านี้ว่าคุณ Marcel Boussac ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ Dior และยังเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการสื่อ ได้เคยกดดันหน่วยงานรัฐบาลไม่ให้เรียกตัวเขาเข้ากองทัพอยู่หลายครั้ง
แต่พอคุณ Yves Saint Laurent ล้มเหลวมาก ๆ เข้า จึงถูกทำให้โดนเรียกตัว เพื่อที่แบรนด์ Dior จะได้หาคนอื่นมาเป็นผู้นำคนใหม่แทน
ซึ่งชีวิตในค่ายทหารของคุณ Yves Saint Laurent ก็ไม่ได้ดีนัก เขาถูกซ้อมจนต้องเข้าโรงพยาบาล และหลังจากนั้นไม่นานยังต้องมาพบว่า ตัวเองโดนไล่ออกจาก Dior อย่างไม่เป็นธรรมด้วย
สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจฟ้องร้อง Dior เรื่องผิดสัญญา และก็ชนะคดีในที่สุด
ก่อนจะเดินหน้าสร้างแบรนด์ YSL ของตัวเองในเวลาต่อมา..
ก่อนจะเดินหน้าสร้างแบรนด์ YSL ของตัวเองในเวลาต่อมา..
กลับมาที่สถานการณ์ของแบรนด์ Dior ภายหลังการจากไปของคุณ Yves Saint Laurent ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งต่อ ก็คือ คุณ Marc Bohan
ซึ่งอันที่จริงคุณ Marc Bohan ก็ถือว่าเป็นผู้ที่กอบกู้สถานการณ์ของแบรนด์ Dior ให้กลับมาครองใจเหล่าเฟมินีนอีกครั้ง ด้วยการนำเอากลิ่นอายการออกแบบในยุคคุณ Christian Dior มาประยุกต์ให้ดูโมเดิร์นขึ้น
และภายใต้การนำของเขา ยังทำให้แบรนด์ Dior ก้าวขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ในวงการแฟชั่นโลก รวมถึงมีการขยายสาขาไปหลาย ๆ ประเทศมากกว่ายุคไหน ๆ
แต่ในขณะที่ Dior พุ่งสู่จุดสูงสุด บริษัท Boussac Group ผู้เป็นเจ้าของ Dior กลับประสบปัญหาล้มละลายในปี 1978
ด้วยเหตุนี้ Dior จึงถูกซื้อไปโดย Willot Group แต่ต่อมาบริษัทนี้ก็ดันมาล้มละลายตามไปอีกเจ้า
ในปี 1984 คุณ Bernard Arnault ที่ในขณะนั้นอายุ 35 ปี เห็นเข้าจึงตัดสินใจเข้าซื้อ Willot Group เพราะเกิดความฝัน อยากจะสร้างบริษัทที่รวบรวมแบรนด์หรูทั่วประเทศเข้าไว้ด้วยกัน
หลังเข้าซื้อกิจการ คุณ Bernard Arnault ก็เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งปลดพนักงานออกกว่า 9,000 คน และขายบางธุรกิจในเครือที่ฉุดรายได้ออกไป
รวมถึงเปลี่ยนสถานะบริษัท Christian Dior S.A. ให้เป็นบริษัทโฮลดิงในปี 1988
หลังจากนั้นเขาก็ได้นำบริษัทไปลงทุนซื้อหุ้นของ LVMH ในสัดส่วน 32%
ซึ่งตอนนั้น LVMH กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่สุดในฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการรวมธุรกิจระหว่างแบรนด์หรู Louis Vuitton และสุราหรู Moët Hennessy
ซึ่งคุณ Bernard Arnault ก็ค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น LVMH เรื่อย ๆ จนเกิดการกระทบกระทั่งกับกลุ่มทุนเดิมที่เป็นเครือญาติของ Louis Vuitton
แต่สุดท้ายคุณ Bernard Arnault ก็สามารถรวบรวมเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุม และบีบให้เจ้าของเดิมออกจากบริษัท ในปี 1989
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ LVMH ภายใต้การนำของคุณ Bernard Arnault ที่ค่อย ๆ เดินตามฝันด้วยการสะสมแบรนด์หรู เข้าพอร์ตของบริษัทไปเรื่อย ๆ
จนวันนี้เขาไม่เพียงแต่รวบรวมแบรนด์หรูทั่วประเทศฝรั่งเศส แต่กลับสามารถกล่าวได้ว่า LVMH กลายเป็นอาณาจักรที่รวบรวมแบรนด์หรูจากทั่วโลก
และไม่เพียง LVMH เท่านั้น ที่ก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ในฐานะอาณาจักรแบรนด์หรูที่ใหญ่สุดในโลก
เพราะคุณ Bernard Arnault ผู้อยู่เบื้องหลังนี้ ก็ได้ก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ของโลกเช่นกัน ในฐานะคนที่รวยที่สุด ด้วย ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 6.6 ล้านล้านบาท..