GENTLEWOMAN ทำอย่างไร ให้รายได้โตมากกว่า 100% ภายใน 1 ปี
Business

GENTLEWOMAN ทำอย่างไร ให้รายได้โตมากกว่า 100% ภายใน 1 ปี

13 มิ.ย. 2022
GENTLEWOMAN ทำอย่างไร ให้รายได้โตมากกว่า 100% ภายใน 1 ปี /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ ? ในปี 2562 GENTLEWOMAN มี “กำไร” เพียง 4 ล้านบาท
แต่หลังจากนั้นเพียง 2 ปี บริษัทก็สามารถทำกำไร ได้สูงถึง 32 ล้านบาท
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ รายได้ในปี 2564 ของ GENTLEWOMAN ยังเติบโตถึง 130% แม้จะยังอยู่ในช่วงวิกฤติโรคระบาด
วันนี้ลงทุนเกิร์ลได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณบูม-จิตพล ศิริวัฒนเมธางกูร หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ GENTLEWOMAN ที่จะมาแชร์ถึงวิธีการทำงาน และกลยุทธ์ทางการตลาด
แล้ว GENTLEWOMAN ทำอย่างไรถึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ปัจจุบัน GENTLEWOMAN กำลังเดินทางเข้าสู่ปีที่ 4 กับหน้าร้านทั้งหมด 14 สาขา รวมถึงการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง
ซึ่งหากใครเป็นแฟนคลับของ GENTLEWOMAN และชอบแวะเข้าไปเลือกซื้อสินค้าที่ร้านบ่อย ๆ จะสังเกตได้ว่าเสื้อผ้าบนราวมักจะเปลี่ยนใหม่ไม่ซ้ำกันในทุก ๆ สัปดาห์
เนื่องจาก GENTLEWOMAN มีวงจรการผลิตสินค้าที่รวดเร็วมาก และออกคอลเลกชันใหม่ทุก ๆ สัปดาห์ เรียกได้ว่าถ้าช็อปช้า ก็อดซื้อสินค้าไปเลย
นอกจากนั้นยังมีสินค้ายอดนิยม เช่น กระเป๋าสะพาย พิมพ์ลาย “GENTLEWOMAN” ที่เป็นกระแสจนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง และถือเป็นกระเป๋าอีกหนึ่งใบที่หลาย ๆ คนต่างต้องแย่งชิงมาครอบครอง เพราะสินค้าขายหมดไวมาก
ที่น่าสนใจคือ ช่วงเวลาที่ GENTLEWOMAN เป็นกระแสและเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ก็คือช่วงเวลาของวิกฤติโรคระบาด
โดยถึงแม้ว่าธุรกิจเสื้อผ้า อาจจะไม่ใช่ธุรกิจที่เจ็บปวดที่สุดในตอนนั้น แต่ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ยากลำบากพอสมควร
ทำให้ผู้ประกอบการหลาย ๆ คน เลือกที่จะไม่ลงทุน และเก็บเงินก้อนไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินแทน
แต่สำหรับ GENTLEWOMAN กลับคิดต่างออกไป และใช้ช่องว่างทางการตลาดที่คู่แข่งกำลังหยุดนิ่ง ในการลงทุนสร้าง “Brand Awareness” ให้กับแบรนด์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
เพราะคุณบูมคิดว่า “หากธุรกิจหยุดนิ่งโดยไม่เสี่ยงอะไรเลย ก็ไม่สามารถอยู่ได้เช่นกัน และเหมือนกำลังรอวันที่ธุรกิจค่อย ๆ ตายลงอย่างช้า ๆ”
ซึ่งหากเราเปรียบตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นเป็นบ่อน้ำสักบ่อหนึ่ง ที่ช่วงเวลาปกติจะมีคลื่นน้ำซัดแรงมาก จากการแข่งขันที่ดุเดือดของแบรนด์ต่าง ๆ
ดังนั้น GENTLEWOMAN ที่เป็นแบรนด์เล็ก ๆ ก็เหมือนกับหินก้อนเล็ก ๆ ที่แม้จะโยนลงไปก็คงไม่มีคนสังเกตเห็น
แต่ในทางกลับกัน ช่วงวิกฤติโรคระบาด บ่อน้ำกลับสงบนิ่ง
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ GENTLEWOMAN จะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ แต่หากโยนลงไปถี่ ๆ ในน้ำ ก็มีโอกาสที่จะสั่นกระเพื่อมแรงได้เหมือนกัน
ดังนั้นแทนที่จะหยุดนิ่ง GENTLEWOMAN ก็เลือกกระโจนลงไปในตลาดที่ไม่มีใครเคลื่อนไหว และลงทุนอย่างคุ้มเสี่ยง เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การลงทุนของ GENTLEWOMAN ก็ผ่านการคิดไตร่ตรองมาอย่างรัดกุม
แล้ว GENTLEWOMAN ปรับเปลี่ยนทิศทางอย่างไรบ้าง ถึงสามารถเติบโตในช่วงวิกฤติโรคระบาดได้ ?
อันดับแรกคือ ปรับเปลี่ยนสินค้าให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อระบายสินค้าที่ค้างอยู่ในสต็อก
เช่น เปลี่ยนผ้าปูนอนชายหาดในคอลเลกชันฤดูร้อน มาเป็นผ้าห่มสำหรับทำงานที่บ้าน หรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ได้ไปเที่ยว เช่น รองเท้าแตะ, ผ้าคาดผม หรือกระเป๋าผ้า GENTLEWOMAN ที่เป็นกระแส
ต่อมาคือ ออกสินค้าบ่อยขึ้น เพื่อหมั่นดึงดูดความสนใจของลูกค้า
ย้อนกลับไปในช่วงแรก ๆ GENTLEWOMAN ออกสินค้าเพียง 3 เดือนครั้ง เหมือนกับแบรนด์อื่น ๆ
ในขณะที่หลาย ๆ แบรนด์กำลังหยุดนิ่งจากวิกฤติโรคระบาด GENTLEWOMAN เลือกใช้จังหวะนี้ในการปล่อยสินค้าใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ จากเดือนละ 1 ครั้ง เป็น 2 ครั้ง จนปัจจุบันออกสินค้าใหม่ทุก ๆ สัปดาห์ เลยทีเดียว
ซึ่งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของ GENTLEWOMAN ก็ช่วยให้บริษัทที่เคยมีผลประกอบการคงที่ เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปีที่ผ่านมา
ผลประกอบการของบริษัท เจนเทิลวูแมน จำกัด
ปี 2562 มีรายได้รวม 65 ล้านบาท กำไร 4 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้รวม 73 ล้านบาท กำไร 5 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 168 ล้านบาท กำไร 32 ล้านบาท
โดยรายได้ปีล่าสุดของ GENTLEWOMAN เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 130% เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีมากของแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่ถึง 4 ปี
แล้วเมื่อสถานการณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติ ตลาดมีกระแสน้ำเชี่ยวเหมือนเดิม GENTLEWOMAN มีวิธีการทำงานอย่างไร ที่จะทำให้แบรนด์เดินทางในธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นได้อย่างมั่นคง
1.ให้ความสำคัญกับ “สินค้า”
คุณบูมเชื่อว่าการตลาดที่คุ้มค่าที่สุด คือ “สินค้าที่ตรงใจลูกค้า” โดยวิเคราะห์จากเทรนด์ และข้อมูลต่าง ๆ
ดังนั้นแต่ละครั้งที่ GENTLEWOMAN ออกสินค้าใหม่ จะต้องผ่านการเก็บข้อมูลจากคอลเลกชันเก่าเสมอ ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ และพัฒนาเป็นสินค้าใหม่ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
ซึ่ง “Casual Fashion” ที่เป็นสไตล์เสื้อผ้าปัจจุบันของ GENTLEWOMAN ก็มาจากการวิเคราะห์เทรนด์การแต่งตัวสมัยใหม่ และความชอบของลูกค้า ที่ยังต้องการความเป็นแฟชั่น แต่ต้องใส่ได้ทุกสถานการณ์
2.วัฒนธรรมองค์กรรุ่นใหม่ ที่รวดเร็ว ยืดหยุ่น และไร้ขั้นตอนยุ่งยาก
โดยเน้นแนวคิดการทำงานแบบ Agile ที่ลดลำดับขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ลง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และข้อมูลไปพัฒนาสินค้าให้รวดเร็วขึ้น เช่น ลดขั้นตอนงานเอกสาร และพัฒนาระบบการทำงานขึ้นมา เพื่อตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นลง
นอกจากนั้นสังคมการทำงานของ GENTLEWOMAN ยังไร้ลำดับขั้น และมุ่งเน้นการสื่อสารกันในทีม
โดยกระจายการทำงานเป็น Task Force หรือก็คือการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ ทีม
ซึ่งทุกทีมจะประกอบไปด้วยฟันเฟืองสำคัญของบริษัท ตั้งแต่ดีไซเนอร์, ครีเอทิฟ, กราฟิก, การตลาด และการวางแผนการขาย เพื่อให้ทุกคนได้แชร์ความคิดเห็น และสร้างสรรค์ผลงานร่วมกันอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้นทีมงานหลักยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทได้อย่าง “โปร่งใส” และ “เรียลไทม์”
ไม่ว่าจะเป็นรายได้, กำไร และต้นทุนทั้งหมด ก็จะไม่มีการปิดบัง เนื่องจากคุณบูมมองว่า การที่พนักงานเห็นข้อมูลของบริษัท จะช่วยให้ทีมงานสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
และนี่คือเคล็ดลับการทำงานฉบับ GENTLEWOMAN ที่ทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง
แม้ว่าวันแรก GENTLEWOMAN จะเป็นเพียงก้อนหินเล็ก ๆ ในบ่อน้ำก็ตาม
แต่ในวันนี้แบรนด์ก็เริ่มเติบโต และสามารถสร้างแรงกระเพื่อม
ให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่นฝีมือคนไทย ได้ไม่น้อย..
Reference:
-สัมภาษณ์โดยตรงกับคุณจิตพล ศิริวัฒนเมธางกูร ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ GENTLEWOMAN
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.