Uncategorized
รู้จัก WWOOF โครงการที่ไม่ได้มีดี แค่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ
4 ก.ค. 2021
รู้จัก WWOOF โครงการที่ไม่ได้มีดี แค่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ /โดย ลงทุนเกิร์ล
การได้มีโอกาสไปยังต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ใครหลายคนฝันถึง
ซึ่งการเดินทางไปยังต่างแดนนอกจากจะช่วยให้เราได้ฝึกภาษาแล้ว
ยังทำให้เราได้พบเจอกับประสบการณ์แปลกใหม่ ที่เราอาจหาไม่ได้ในประเทศตัวเอง
ซึ่งการเดินทางไปยังต่างแดนนอกจากจะช่วยให้เราได้ฝึกภาษาแล้ว
ยังทำให้เราได้พบเจอกับประสบการณ์แปลกใหม่ ที่เราอาจหาไม่ได้ในประเทศตัวเอง
แต่จะดีแค่ไหน ถ้าเรามีโอกาสได้ไปสัมผัสประสบการณ์แบบคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ไม่ใช่เพียงแค่ประสบการณ์ที่ได้จากการไปเที่ยวเมืองต่าง ๆ อย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่เพียงแค่ประสบการณ์ที่ได้จากการไปเที่ยวเมืองต่าง ๆ อย่างเดียวเท่านั้น
วันนี้ลงทุนเกิร์ลจะพามารู้จักกับโครงการที่มีชื่อว่า WWOOF
ซึ่งเป็นโครงการที่ คนที่เคยเข้าร่วมหลาย ๆ คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก และได้พบเจอกับผู้คนที่เป็นกลุ่มชุมชนจริง ๆ
ซึ่งเป็นโครงการที่ คนที่เคยเข้าร่วมหลาย ๆ คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก และได้พบเจอกับผู้คนที่เป็นกลุ่มชุมชนจริง ๆ
WWOOF ก่อตั้งโดยใคร และเป็นโครงการลักษณะไหน ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
WWOOF ก่อตั้งโดยคุณ Sue Coppard ซึ่งทำงานเป็นเลขานุการ อยู่ที่ลอนดอน
โดยไอเดียในการจัดตั้งโครงการนี้ ก็มาจากการที่เธอได้มีโอกาสไปทำงานในฟาร์มออร์แกนิกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นการไปทำงานในช่วงสุดสัปดาห์กับเพื่อน ๆ อีก 4 คน ผ่านการสมัครเข้าโครงการเพื่อการกุศล
แน่นอนว่าการได้มีโอกาสไปทำงานในครั้งนั้น สร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้เธอเป็นอย่างมาก
และด้วยความรู้สึกเหล่านี้ คุณ Sue Coppard จึงคิดว่า มันจะต้องมีคนที่เป็นเหมือนเธอแน่ ๆ
คือ กลุ่มคนที่อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์แบบชนบท และอยากสนับสนุนสินค้าออร์แกนิก
และด้วยความรู้สึกเหล่านี้ คุณ Sue Coppard จึงคิดว่า มันจะต้องมีคนที่เป็นเหมือนเธอแน่ ๆ
คือ กลุ่มคนที่อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์แบบชนบท และอยากสนับสนุนสินค้าออร์แกนิก
ส่วนทางฟาร์มต่าง ๆ เองก็มองว่าการที่ได้รับความช่วยเหลือจากแรงงานเหล่านี้
ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะประหยัดค่าจ้างแรงงานไปในตัว
ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะประหยัดค่าจ้างแรงงานไปในตัว
พอเรื่องเป็นแบบนี้ คุณ Sue Coppard จึงเริ่มต้นโครงการ WWOOF ขึ้นมาในปี 1971
แล้วโครงการ WWOOF เป็นโครงการลักษณะไหน ?
สำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ WWOOF นั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ (WWOOFer) และโฮสต์ หรือก็คือเจ้าของฟาร์มต่าง ๆ นั่นเอง
ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ (WWOOFer) และโฮสต์ หรือก็คือเจ้าของฟาร์มต่าง ๆ นั่นเอง
โดยให้ผู้ที่สนใจอยากจะร่วมโครงการกับ WWOOF นั้นเลือกฟาร์มที่ตัวเองอยากทำงานได้
และให้ทำงานเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมงตามแต่ที่ตกลงกัน
ส่วนโฮสต์หรือเจ้าของฟาร์มก็มีหน้าที่จัดเตรียมอาหารและที่พัก ให้กับ WWOOFer ที่เข้าร่วมโครงการ
และให้ทำงานเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมงตามแต่ที่ตกลงกัน
ส่วนโฮสต์หรือเจ้าของฟาร์มก็มีหน้าที่จัดเตรียมอาหารและที่พัก ให้กับ WWOOFer ที่เข้าร่วมโครงการ
แม้ดูแล้ว WWOOF จะคล้าย ๆ กับโครงการแลกเปลี่ยนต่าง ๆ ทั่วไป
อย่างการที่เราต้องเลือกโฮสต์ที่จะไป เพราะเป็นสถานที่ที่เราต้องไปอยู่ระยะหนึ่ง
ซึ่งถ้าหากเราบังเอิญได้โฮสต์ที่ไม่ค่อยดีนัก ประสบการณ์ที่ได้ ก็อาจจะไม่ได้หอมหวานเหมือนที่วาดฝันไว้
อย่างการที่เราต้องเลือกโฮสต์ที่จะไป เพราะเป็นสถานที่ที่เราต้องไปอยู่ระยะหนึ่ง
ซึ่งถ้าหากเราบังเอิญได้โฮสต์ที่ไม่ค่อยดีนัก ประสบการณ์ที่ได้ ก็อาจจะไม่ได้หอมหวานเหมือนที่วาดฝันไว้
แต่ WWOOF ก็ยังมีจุดที่แตกต่างจากโครงการแลกเปลี่ยนอื่น หรือ Work and Travel อีกหลายอย่างเหมือนกัน
อย่างแรกที่ทำให้ต่างคือ ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ WWOOF นั้นมีราคาที่ถูกกว่า
เมื่อเทียบกับค่าโครงการ Work and Travel ที่มีราคาค่าโครงการหลักแสนขึ้นไป
เมื่อเทียบกับค่าโครงการ Work and Travel ที่มีราคาค่าโครงการหลักแสนขึ้นไป
แต่สำหรับ WWOOF นั้นจะไม่ได้มีค่าโครงการ แต่ต้องเสียค่าสมาชิก
ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับประเทศที่เราจะเลือกไปร่วมโครงการ และราคาอยู่ที่ประมาณหลักพันบาท
ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับประเทศที่เราจะเลือกไปร่วมโครงการ และราคาอยู่ที่ประมาณหลักพันบาท
โดยสาเหตุที่ทำให้ค่าสมาชิกมีราคาถูก ก็เนื่องจากทางโครงการจะมีหน้าที่คล้ายกับ “ตัวกลาง” จับคู่ระหว่างโฮสต์และ WWOOFer เท่านั้น
หลังจากนั้นเราและโฮสต์ จะต้องไปตกลงต่อกันเอง
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าทุกคู่จะสามารถเจรจากัน จนถึงขั้นเก็บกระเป๋าเดินทางได้เสมอไป
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าทุกคู่จะสามารถเจรจากัน จนถึงขั้นเก็บกระเป๋าเดินทางได้เสมอไป
โดยบางโฮสต์อาจจะอยู่ในช่วงที่มีผลผลิตที่ไม่ดีเท่าที่ควร
หรือบางโฮสต์ก็มี WWOOFer ที่อยู่ในความดูแลมากพออยู่แล้ว
หรือบางโฮสต์ก็มี WWOOFer ที่อยู่ในความดูแลมากพออยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เราสามารถตกลงกับโฮสต์ได้
ทางโครงการก็ไม่ได้อำนวยความสะดวก ในเรื่องการขอวีซ่า
ทางโครงการก็ไม่ได้อำนวยความสะดวก ในเรื่องการขอวีซ่า
ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องเดินทางเข้าประเทศนั้น ๆ ด้วย “วีซ่าท่องเที่ยว” แทน
เพราะ WWOOF มองว่า การเข้าร่วมโครงการ
คือการมา “แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม” ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเงิน
รวมถึงไม่ได้นับว่าเป็นการเข้ามาเพื่อด้านการศึกษาการทำฟาร์มแต่อย่างใด
คือการมา “แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม” ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเงิน
รวมถึงไม่ได้นับว่าเป็นการเข้ามาเพื่อด้านการศึกษาการทำฟาร์มแต่อย่างใด
ฉะนั้นสำหรับ WWOOFer ที่ต้องการไปหาประสบการณ์กับโครงการ
จึงไม่ได้ไปในฐานะ “คนทำงาน” หรือ “อาสาสมัครเพื่อการกุศล”
แต่มาในฐานะนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเที่ยว เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดนมากกว่า
จึงไม่ได้ไปในฐานะ “คนทำงาน” หรือ “อาสาสมัครเพื่อการกุศล”
แต่มาในฐานะนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเที่ยว เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดนมากกว่า
สำหรับผู้ที่เข้าร่วมจึงต้องเตรียมแผนการในการเดินทางอย่างรอบคอบ
หรือถ้าจะให้ดีสามารถขอร้องให้ทางโฮสต์ที่ตอบรับเรา เขียนจดหมายแนะนำเราได้
เพื่อให้เมื่อตอนที่ผ่านด่านเข้าประเทศนั้น สามารถเข้าไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
หรือถ้าจะให้ดีสามารถขอร้องให้ทางโฮสต์ที่ตอบรับเรา เขียนจดหมายแนะนำเราได้
เพื่อให้เมื่อตอนที่ผ่านด่านเข้าประเทศนั้น สามารถเข้าไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
แล้วโครงการ WWOOF นี้เหมาะกับใครบ้าง ?
จริง ๆ แล้วโครงการนี้จะเหมาะกับบุคคลที่อยากท่องเที่ยวในราคาที่ถูกกว่า
เพราะเราไม่ต้องเสียค่าที่พัก หรือค่าอาหารเลย
เพราะเราไม่ต้องเสียค่าที่พัก หรือค่าอาหารเลย
และที่มากกว่านั้นคือ “ประสบการณ์” ที่จะได้รับกลับมา รวมถึงการได้พบเจอคนใหม่ ๆ
ไม่ว่าจะเป็นโฮสต์ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ หรือแม้แต่ WWOOFer ที่มาจากประเทศอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นโฮสต์ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ หรือแม้แต่ WWOOFer ที่มาจากประเทศอื่น ๆ
โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการไปสัมผัสประสบการณ์ชนบท
รวมถึงเป็นการเข้าไปช่วยสนับสนุนชุมชนที่ทำการเกษตรแบบออร์แกนิก
รวมถึงเป็นการเข้าไปช่วยสนับสนุนชุมชนที่ทำการเกษตรแบบออร์แกนิก
ฉะนั้นสำหรับคนที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่อาจได้สัมผัสในเมือง
WWOOF ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจ
WWOOF ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจ
ที่สำคัญ ถ้าใครกำลังอยู่ในต่างประเทศอยู่แล้วด้วย
ก็น่าจะเข้าร่วมกับโฮสต์ที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ได้สะดวกมากกว่า
ก็น่าจะเข้าร่วมกับโฮสต์ที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ได้สะดวกมากกว่า
ซึ่งสำหรับพวกเราชาวไทยก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะจริง ๆ แล้วในประเทศไทยเอง
ก็มีเกษตรกรในไทยร่วมโครงการกับ WWOOF เช่นกัน
ก็มีเกษตรกรในไทยร่วมโครงการกับ WWOOF เช่นกัน