คุยกับ เจ้าของ LoafyCo Bakery House ร้านที่อบขนมปังเกลือ 1,000 ชิ้นต่อวัน ก็ยังไม่พอขาย.. /โดย ลงทุนเกิร์ล

ช่วงนี้หันไปทางไหนก็เจอแต่คนรีวิวขนมปังเกลือ หรือ Shio Pan ขนมปังหน้าตาเรียบง่าย แต่ซ่อนเสน่ห์เอาไว้ในทุกคำที่กัด

และหนึ่งในร้านที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ก็คือ LoafyCo Bakery House ร้านขนมปังเกลือเจ้าดังที่สร้างปรากฏการณ์คิวยาว ซึ่งทุกคนที่ได้ลองต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อยคุ้มค่ากับการรอ”

โดยวันนี้ลงทุนเกิร์ล มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณส้ม-สโรชา เกิดผล ผู้ก่อตั้ง LoafyCo Bakery House ถึงเรื่องราวการปลุกปั้นร้านขนมปังโฮมเมดเล็ก ๆ ที่เริ่มทำขนมปังเกลือจากวันละ 36 ชิ้น จนวันนี้ผลิตวันละ 1,000 ชิ้น ก็ยังไม่พอขาย

กว่าจะมาถึงจุดนี้ LoafyCo มีวิธีในการบริหารธุรกิจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง

จุดเริ่มต้นของร้าน LoafyCo ที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ เป็นการต่อยอดมาจากธุรกิจขายขนมออนไลน์ของคุณส้ม ช่วงโรคระบาดใหญ่ในปี 2021

แม้จะขายทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่ด้วยรสชาติที่อร่อย ทำให้ LoafyCo มียอดสั่งจองขนมนับร้อยชิ้น

เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นในปี 2023 คุณส้มจึงตัดสินใจเปิดหน้าร้านและนำเมนูซิกเนเชอร์อย่าง Garlic Cream Cheese (ขนมปังกระเทียมครีมชีส) และ Ang Butter Bread (ขนมปังเพรทเซลเนยถั่วแดง) มาเป็นเมนูหลักของร้าน

พร้อมกับนำประสบการณ์การชิมขนมจากต่างประเทศ มาครีเอตเมนูขนมใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีในไทย เช่น ขนมสไตล์เกาหลี และญี่ปุ่น มาดัดแปลงรสชาติ และเนื้อสัมผัสให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น

กระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงปีนี้เอง ที่ร้านเริ่มเป็นกระแสขึ้นมาจากเมนู Shio Pan และ Shio Strawberry หรือขนมปังเกลือสอดไส้ครีมนม ท็อปด้วยสตรอว์เบอร์รีสด ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามและกลายเป็นเมนู Best Seller ของร้านที่ทำออกมาทีไรก็ขายหมดเกลี้ยงตลอด

แล้วร้าน LoafyCo มีสูตรลับอะไร ที่ทำให้ร้านยังคงมีกระแสต่อเนื่อง ?

ปัจจัยสำคัญอันดับแรกคือ การควบคุมคุณภาพสินค้าและบริการอย่างสม่ำเสมอ

เพราะคุณส้มเชื่อว่า หากสินค้าไม่มีคุณภาพหรือบริการไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ต่อให้ทำการตลาดดีแค่ไหน ลูกค้าก็อาจมาที่ร้านเพียงครั้งเดียว

ทั้งนี้คุณส้มทราบดีว่าความอร่อยเป็นปัจเจก เธอจึงให้ความสำคัญกับ “ความอร่อยที่เป็นรูปธรรม” โดยยึด 4 เกณฑ์หลัก ได้แก่

เนื้อสัมผัสต้องดีกลิ่นต้องหอมต้องทานได้หมดทั้งชิ้นหน้าตาของขนมต้องดึงดูด

อีกทั้งคุณส้มยังใช้กลยุทธ์กลิ่น ด้วยการเลือกอบขนมภายในร้าน เพื่อให้มีกลิ่นขนมหอมอบอวล ชวนให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน

ถัดมาคือ ความซื่อสัตย์กับลูกค้า

ถ้ามีขนมชิ้นไหนคุณภาพหลุดไปจากมาตรฐานของร้าน ทีมงานจะยอมรับตามตรง และแก้ไขให้ลูกค้าทันที พร้อมเก็บคำติชมของลูกค้ามาเป็นไอเดียพัฒนาสินค้าต่อ ๆ ไป

และสุดท้ายคือ การทำการตลาด ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน

โดยทางร้านเน้นทำคอนเทนต์คลิปสั้นที่เข้าใจง่าย และโพสต์คลิปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คนเห็นอยู่ตลอด และกลายเป็นที่จดจำ

ด้วยความที่ร้านไม่เคยหยุดตะโกนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ จึงทำให้แบรนดิงชัด
แม้แต่คลิปที่เห็นแค่ถาดใส่ขนมในร้าน ลูกค้าก็ยังจำได้ว่านี่คือลายเซ็นของ LoafyCo

จากปัจจัยทั้งหมดนี้เอง ทำให้ร้านเล็ก ๆ ที่เริ่มต้นด้วยพนักงานหน้าร้านเพียง 4 คน
กลายเป็นร้านเบเกอรีสุดฮอต ที่มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย และสร้างยอดขายปีละกว่า 30 ล้านบาท

แต่ในทางกลับกัน กระแสความนิยมที่ถาโถม ก็ได้กลายมาเป็นความท้าทายให้กับการบริหารจัดการภายในร้าน

คุณส้มบอกกับเราว่า ช่วงที่ลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทางร้านต้องเร่งผลิตขนมจากหลักร้อยเป็นหลักพันชิ้นต่อวัน

แต่สิ่งที่ตามมาคือ ฟีดแบ็กจากลูกค้าถึงรสชาติของขนมในร้านที่ไม่เหมือนเดิม เนื่องจากการเพิ่มการผลิตอย่างรวดเร็ว ทำให้บางครั้งทีมงานไม่สามารถคุมคุณภาพของขนมได้ดีเท่าเมื่อก่อน

ทางร้านจึงตัดสินใจหยุดเพิ่มการผลิต แล้วกลับมาโฟกัสกับการคุมคุณภาพ ให้ขนมทุกชิ้นมีมาตรฐานเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังต้องใช้วิธีจำกัดจำนวนชิ้นต่อการซื้อแต่ละครั้ง รวมถึงเปิดขายเป็นรอบ ๆ เพื่อให้สะดวกกับการจัดการ และกระจายโอกาสให้ลูกค้าได้ลิ้มลองกันอย่างทั่วถึง

สำหรับใครที่อยากลองชิมขนมของ LoafyCo แต่สู้กับคิวยาวเหยียดไม่ไหวก็อย่าเพิ่งถอดใจไป

เพราะทางร้านกระซิบมาว่ามีแผนขยายสาขาช่วงปลายปีนี้ พร้อมเพิ่มกำลังผลิต เพื่อรองรับการขายผ่านช่องทางออนไลน์เช่นกัน

ส่วนประเด็นที่หลายคนมองว่า สมรภูมิร้านเบเกอรีบ้านเราดุเดือด มีร้านใหม่ ๆ ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอกเข้ามาเปิดตัวทุกปี

เรื่องนี้คุณส้ม ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า “ธุรกิจมีขึ้นก็ต้องมีลง เราเชื่อว่าวันที่คิวอาจจะไม่ยาวเท่านี้แล้ว แต่สุดท้ายร้านที่อยู่ได้คือร้านที่มีสินค้าและบริการที่ดีจริง ๆ”

ซึ่งเธอเชื่อว่า LoafyCo Bakery House คือร้านนั้น..

Reference :

สัมภาษณ์พิเศษกับคุณส้ม-สโรชา เกิดผล ผู้ก่อตั้ง LoafyCo Bakery House