PR NewsLifestyleHealth & Beauty
คุยกับผู้บริหาร KARMART ฉลองครบรอบ 15 ปี คาดปี 67 ดันยอดขายทะลุ 3,250 ล้านบาท
23 พ.ย. 2024
KARMART x ลงทุนเกิร์ล
ถ้าพูดถึงผู้นำในอุตสาหกรรมความงามประเทศไทย
แน่นอนว่า KARMART คือบริษัทที่ใครหลายคนคงนึกถึง
เพราะนี่คือบริษัทระดับตำนาน ผู้บุกเบิก นำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้ ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว
แน่นอนว่า KARMART คือบริษัทที่ใครหลายคนคงนึกถึง
เพราะนี่คือบริษัทระดับตำนาน ผู้บุกเบิก นำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้ ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว
จากนั้นค่อย ๆ พัฒนาสินค้าความงามของตัวเอง ภายใต้อาณาจักร KARMART
จนปัจจุบันเป็นบริษัทเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 13,700 ล้านบาท
จนปัจจุบันเป็นบริษัทเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 13,700 ล้านบาท
โดยวันนี้ลงทุนเกิร์ลได้มีโอกาสสัมภาษณ์สุดเอกซ์คลูซิฟกับคุณเก๋-ชลธิดา สถาวรวิจิตร, คุณกอล์ฟ-วงศ์วิวัฒน์ และ คุณแก๊ป-พงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้บริหารทั้ง 3 ท่านของ KARMART เพื่อเจาะลึกถึงกลยุทธ์หลัก ที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ KARMART พร้อมวิเคราะห์เทรนด์ความงามปี 2568 ที่เจ้าของกิจการไม่ควรพลาด..
เริ่มกันที่ผลประกอบการของบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)
ปี 2563 รายได้ 1,326 ล้านบาท กำไรสุทธิ 133 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 1,503 ล้านบาท กำไรสุทธิ 293 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 1,875 ล้านบาท กำไรสุทธิ 327 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 2,455 ล้านบาท กำไรสุทธิ 661 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 1,503 ล้านบาท กำไรสุทธิ 293 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 1,875 ล้านบาท กำไรสุทธิ 327 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 2,455 ล้านบาท กำไรสุทธิ 661 ล้านบาท
โดย KARMART เผยว่ามียอดขายโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
และในปี 2567 นี้ คาดว่าจะทำรายได้ทะลุ 3,250 ล้านบาทตามเป้าหมาย
และในปี 2567 นี้ คาดว่าจะทำรายได้ทะลุ 3,250 ล้านบาทตามเป้าหมาย
แล้ว KARMART ใช้กลยุทธ์อะไรที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ และเติบโตขึ้นทุกปี
ลงทุนเกิร์ลจะสรุปให้ฟัง
ลงทุนเกิร์ลจะสรุปให้ฟัง
กลยุทธ์แรกคือ “เคลื่อนตัวเร็ว จับกระแสไว”
แม้ KARMART จะครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องสำอางระดับกลางถึงพรีเมียมอยู่แล้วถึง 15%
แม้ KARMART จะครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องสำอางระดับกลางถึงพรีเมียมอยู่แล้วถึง 15%
และมีแบรนด์เรือธงอย่าง Cathy Doll และ Baby Bright ที่เป็น 1 ใน 5 Top of Mind ของผู้บริโภคเมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางและสกินแคร์
แต่อุตสาหกรรมความงามมีเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกทั้งมีการแข่งขันอย่างดุเดือด ดังนั้นการติดตามกระแส พร้อมปล่อยสินค้าให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ คือปัจจัยสำคัญ
หนึ่งในจุดแข็งของ KARMART คือความคล่องตัว เพราะมีทีมงานและผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมสนับสนุนครบทั้งสามด้านอย่าง ทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์, ทีมการตลาด และช่องทางการขายที่ครอบคลุมรอบด้าน
อย่างปีนี้ KARMART ก็ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ถึง 10 แบรนด์ภายในหนึ่งปี
ถือเป็นการเดินเกมที่กล้าและท้าทายเป็นอย่างมาก แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค และความมุ่งมั่นของ KARMART ในฐานะผู้นำในตลาดเครื่องสำอาง
กลยุทธ์ถัดมาคือ “พัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้วยความคิดสร้างสรรค์”
สินค้าทุกชนิดภายใต้ KARMART มีเกณฑ์หลักสำคัญคือ Unique Beauty Solutions ตอบโจทย์ความงามเฉพาะตัว สร้างความแตกต่างที่เข้าถึงได้อย่างตรงจุด
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มีคุณภาพ, ราคาสมเหตุสมผล และเน้นนวัตกรรมใหม่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือ “Influencer Marketing”
KARMART เลือกที่จะจับมือกับอินฟลูเอนเซอร์ และผู้เชี่ยวชาญในวงการความงาม ระดับ Top Tier เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด เช่น
- ผลิตภัณฑ์เขียนคิ้ว Browit by Nongchat ร่วมมือกับน้องฉัตร-ฉัตรชัย Makeup Artist แถวหน้าของเมืองไทย ผู้ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเกี่ยวกับคิ้วเป็นอย่างดี
- ผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปาก Lip it. by Nisamanee ร่วมมือกับคุณนัท-นิสามณี Influencer ชื่อดัง แก้ปัญหาปากแห้งที่ตัวคุณนัทเองเคยเผชิญ
ซึ่ง KARMART มองว่ากลยุทธ์นี้ไม่เพียงแค่เพิ่มยอดขายและสร้างการรับรู้ในแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเพิ่มมูลค่าแบรนด์และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค
กลยุทธ์สุดท้ายคือ “ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย”
KARMART มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Modern Trade วางขายสินค้าในร้านค้าปลีก, Traditional Trade วางขายสินค้าในร้านค้าบิวตีแบบดั้งเดิม รวมไปถึง E-commerce แพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์
หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ มีการวางขายสินค้าหลากหลายแบรนด์ครอบคลุมทั่วภูมิภาค ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง ไปจนถึงร้านค้าระดับท้องถิ่นตามตะเข็บชายแดน
นอกจากนี้ KARMART ยังทำพีอาร์แยกตามช่องทางการขายแต่ละประเภท เพื่อชี้เป้าให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าของแบรนด์ได้สะดวกมากขึ้น
มาต่อกันที่การวิเคราะห์เทรนด์ความงามในปี 2568
ในมุมของ KARMART คาดว่าสินค้าเครื่องสำอางกลุ่ม Clean Beauty และ Vegan จะเป็นกระแสหลักต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เราเริ่มเห็นในปีนี้จาก Skincare Makeup Hybrid หรือกลุ่มเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของการบำรุงผิวร่วมด้วย
อีกทั้งยังมีเทรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงามมากขึ้น จากคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ที่มีเหล่าบล็อกเกอร์ หรือแพทย์ผิวหนังออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับส่วนผสมที่ปลอดภัยต่อผิว
ส่งผลให้แบรนด์ต้องคำนึงถึงการเคลมส่วนผสมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ ใส่ใจในแง่คุณภาพ ความปลอดภัย และสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นจุดขายสำคัญ
ทั้งนี้ KARMART คาดว่าสินค้ากลุ่ม Premium Mass จะมีสัดส่วนมากขึ้น และเทรนด์ของ Luxury Cosmetic จะเริ่มลดลง เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น
นอกจากนี้ T-Beauty หรือเทรนด์ความงามตามฉบับคนไทย ก็กำลังเป็นที่พูดถึงและได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการความงามทั่วโลกอีกด้วย
ก็น่าคิดต่อไปว่า หากเรื่องนี้ได้รับการสนับสนุน และส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง
สินค้ามีคุณภาพอย่าง KARMART อาจเป็นเครื่องมือสร้าง Soft Power ของไทย
เช่นเดียวกับที่เกาหลีใต้ เคยทำมาก่อนเมื่อประมาณ 15 ปีแล้ว..
สินค้ามีคุณภาพอย่าง KARMART อาจเป็นเครื่องมือสร้าง Soft Power ของไทย
เช่นเดียวกับที่เกาหลีใต้ เคยทำมาก่อนเมื่อประมาณ 15 ปีแล้ว..
References:
-สัมภาษณ์โดยตรงกับผู้บริหาร KARMART
-เอกสารงบการเงินบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)
-สัมภาษณ์โดยตรงกับผู้บริหาร KARMART
-เอกสารงบการเงินบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน)