Lifestyle
ส่องเส้นทางสร้างแบรนด์ 100 ปี ของเอ็มจี จากแบรนด์รถยนต์ในตำนานสู่ยานยนต์แห่งอนาคต
24 ก.พ. 2024
MG x ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ว่า นอกจากในปี 2024 นี้ เอ็มจี (MG) บริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ จะมีอายุครบ 100 ปี ยังเป็นปีที่ เอ็มจี ประเทศไทย ตั้งเป้าจะขึ้นเป็น “TOP 3” แบรนด์รถยนต์ในไทยให้ได้
หลังจากในปีที่ผ่านมา SAIC Motor Corporation หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MG ที่ประเทศจีน ยังคงรักษาผลงานที่ยอดเยี่ยม ครองแชมป์ยอดขายสูงสุดในปี 2023 ที่ประเทศจีน รวมกว่า 5.02 ล้านคัน
ขณะที่ MG ในประเทศไทย ก็ไม่น้อยหน้า กวาดยอดขายไปได้ถึง 27,311 คัน จนครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 4% โดยยอดขายดังกล่าว ประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาป อย่างละครึ่ง
ขณะที่ MG ในประเทศไทย ก็ไม่น้อยหน้า กวาดยอดขายไปได้ถึง 27,311 คัน จนครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 4% โดยยอดขายดังกล่าว ประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์สันดาป อย่างละครึ่ง
จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ MG มั่นใจว่า ด้วยรากฐานของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เมื่อบวกกับผลงานที่สั่งสมมา จะเป็นเหมือนสปริงบอร์ดที่ผลักดันให้แบรนด์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และทะยานไปได้ไกลอย่างแน่นอน
แล้ว MG วางกลยุทธ์ไว้อย่างไร เพื่อพิชิตเป้าหมาย ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
MG เป็นแบรนด์รถที่มีต้นกำเนิดจากอังกฤษ
โดยชื่อ MG ย่อมาจาก Morris Garages ซึ่งเป็นชื่ออู่ซ่อมรถของ William Richard Morris ชายผู้ก่อตั้งแบรนด์ MG และเป็นผู้ให้กำเนิดรถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษ ที่สร้างชื่อเสียงทั้งบนสนามแข่ง และสร้างความนิยมบนท้องถนนในปี 1924
โดยชื่อ MG ย่อมาจาก Morris Garages ซึ่งเป็นชื่ออู่ซ่อมรถของ William Richard Morris ชายผู้ก่อตั้งแบรนด์ MG และเป็นผู้ให้กำเนิดรถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษ ที่สร้างชื่อเสียงทั้งบนสนามแข่ง และสร้างความนิยมบนท้องถนนในปี 1924
ตลอดเส้นทาง 100 ปี MG โลดแล่นอยู่ในวงการยานยนต์อย่างโดดเด่น ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเทคโนโลยีล้ำสมัย ทำให้ MG กลายเป็นผู้สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับวงการยานยนต์ระดับโลก จนเป็นที่ยอมรับ และเชื่อมั่นจากนานาประเทศ
ปัจจุบัน MG อยู่ภายใต้บริษัทแม่อย่าง SAIC Motor Corporation ซึ่งใครที่อยู่ในแวดวงยานยนต์ โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าคงคุ้นหูเป็นอย่างดี
เพราะนอกจาก SAIC Motor Corporation จะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและประเทศจีน ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกัน
จนไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมแม้ว่าในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะชะลอตัว จากปัจจัยต่าง ๆ แต่ SAIC Motor Corporation กลับยังคงรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งของกลุ่มบริษัทรถยนต์ในประเทศจีนต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 ด้วยยอดขายรถยนต์รวมกว่า 5.02 ล้านคัน
ทั้งนี้ ถ้าไปซูมดู จะพบว่าในปีที่ผ่านมา SAIC Motor Corporation ส่งออกรถยนต์ไปทั่วโลกกว่า 1.208 ล้านคัน มีอัตราการเติบโต 18.8% เมื่อเทียบกับปี 2022 และมียอดขายรถยนต์ New Energy มากกว่า 1.123 ล้านคัน เติบโตถึง 4.6%
ที่น่าสนใจคือ รถที่ส่งออกจากประเทศจีนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในหมวดรถยนต์นั่ง ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคย นั่นคือ MG ZS ซึ่งมียอดส่งออกกว่า 201,874 คัน
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง MG4 ELECTRIC ที่สร้างความสำเร็จในตลาดทั่วโลก และเป็นโกลบอลโมเดลขวัญใจของคนไทย มียอดส่งออกกว่า 138,736 คัน และ MG5 มียอดส่งออกกว่า 109,431 คัน
เห็นผลงานของบริษัทแม่ ที่ไม่ธรรมดาแล้ว
ทีนี้ ลองมาดูผลงานของ MG ประเทศไทย ซึ่งเริ่มเข้ามาทำตลาดเมื่อ 10 ปี ก่อน ซึ่งถ้าถามว่า MG ประสบความสำเร็จแค่ไหนในตลาดเมืองไทย ก็ต้องบอกว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยทำยอดขายไปแล้วมากกว่า 200,000 คัน
ทีนี้ ลองมาดูผลงานของ MG ประเทศไทย ซึ่งเริ่มเข้ามาทำตลาดเมื่อ 10 ปี ก่อน ซึ่งถ้าถามว่า MG ประสบความสำเร็จแค่ไหนในตลาดเมืองไทย ก็ต้องบอกว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยทำยอดขายไปแล้วมากกว่า 200,000 คัน
โดยจุดแข็งหลัก ๆ ของ MG คือ นวัตกรรมยานยนต์ที่ล้ำสมัย ความคุ้มค่า และที่สำคัญคือ การมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับคนไทย
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเวลาเราขับรถไปไหนมาไหน จะเห็นรถ MG หลากหลายรุ่น โลดแล่นอยู่บนท้องถนน จนเป็นภาพที่คุ้นตา
ยิ่งหลัง ๆ เมื่อเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามาแรง MG ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายมากถึง 5 รุ่น
และนอกจาก MG จะเป็นแบรนด์ที่เบิกทางให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมราคาจับต้องได้ เข้าสู่ตลาดยานยนต์ไทยแล้ว
อย่างที่รู้ว่า แม้กระแสรถยนต์ไฟฟ้าจะจุดติด จากกระแสรักษ์โลก แต่ความกังวลหลัก ๆ ของผู้ขับขี่ ที่ขับรถทางไกล คือ จะหาสถานีชาร์จที่ไหน
พอเป็นแบบนี้ MG จึงต้องเร่งสร้าง EV ECOSYSTEM ให้สมบูรณ์ เพื่อรองรับการขยายตัวของสังคมอีวี
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า MG เป็นแบรนด์แรก ที่กระจายสถานีชาร์จเร็วอย่าง MG SUPER CHARGE ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ จนปัจจุบันมีสถานีที่พร้อมใช้งานมากถึง 146 สถานี สร้างความอุ่นใจให้ผู้ขับขี่ หายกังวล
อีกทั้งยังลงทุนสร้างและขยายพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK เพื่อผลิตแบตเตอรี่อีวีแห่งแรกในอาเซียนอีกด้วย
อีกหนึ่งจุดแข็งของ MG คือ การเป็น Global Brand ที่มีฐานลูกค้าในหลายประเทศ ทำให้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีล้ำ ๆ ของรถ MG ที่จำหน่ายในทั่วโลก ถูกส่งมาถึงมือคนไทยด้วย
ยกตัวอย่างเช่น MG4 ELECTRIC ที่เมืองไทยได้เทคโนโลยีใหม่มาแบบทั้งคัน และปัจจุบัน MG ก็มีฐานการผลิตแบตเตอรี่อยู่ที่ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ย่อมถูกส่งมาที่ฐานการผลิตอยู่เสมอ จึงมีโอกาสที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะทัดเทียมระดับโลก
ในปีนี้ นอกจาก MG จะมีแผนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง เพื่อการส่งออกไปยังเวียดนาม อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่น ๆ
อีกทั้งยังเตรียมแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายขุมพลังขับเคลื่อนเข้าสู่ตลาด โดยมุ่งเน้นกลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือกตามกระแสโลก
รวมไปถึงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของคนไทย และผลักดันให้ประเทศเข้าสู่ Net Zero ผ่านนโยบาย EV 3.5 นำทัพโดย
- NEW MG4 ELECTRIC รุ่นผลิตในประเทศไทย โดยประเทศไทยผลิตรถไฟฟ้าเอง ใช้เอง และส่งออกอีกด้วย
- รถสปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้าอย่าง MG CYBERSTER ที่จะมายกระดับยานยนต์ไทยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น
- รถรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเติมสีสันในตลาดรถเก๋งขนาดเล็กอีก 1 รุ่น ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือก
- รถสปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้าอย่าง MG CYBERSTER ที่จะมายกระดับยานยนต์ไทยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น
- รถรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเติมสีสันในตลาดรถเก๋งขนาดเล็กอีก 1 รุ่น ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือก
นอกจากนี้ ยังเตรียมเผยโฉมเอ็มจี อีวี โชว์รูม (MG EV Showroom) เพื่อนำเสนอนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่จำหน่ายในปัจจุบัน อย่าง MG MAXUS9 และ MG CYBERSTER ที่เตรียมพร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองครบ 100 ปี รวมถึงโมเดลอื่น ๆ ที่จะเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยด้วย
จากเรื่องราวของ MG สะท้อนให้เห็นว่า หนึ่งในรากฐานสำคัญที่ทำให้ MG เติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกได้ถึงร้อยปี คือ การไม่หยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมยานยนต์ให้เทียบเท่าระดับโลก
จากเรื่องราวของ MG สะท้อนให้เห็นว่า หนึ่งในรากฐานสำคัญที่ทำให้ MG เติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกได้ถึงร้อยปี คือ การไม่หยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมยานยนต์ให้เทียบเท่าระดับโลก
และเพื่อให้แบรนด์โลดแล่นไปบนเส้นทางธุรกิจที่ยาวไกลไปอีก 100 ปี ข้างหน้า นอกจากการรักษาดีเอ็นเอของแบรนด์ MG ยังไม่หยุดที่จะปรับตัว เพื่อก้าวให้ทันโลกธุรกิจ
จากนี้ก็ต้องติดตามว่า ด้วยกลยุทธ์ที่ MG วางไว้ จะพาแบรนด์ทะยานไปได้ไกลแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ก่อนจะถึงวันนั้น เราอาจจะได้เห็น MG ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์รถยนต์ TOP 3 ในบ้านเราก็เป็นได้..
Tag:MG