รู้จัก Shunsaku Sagami มหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้สร้างบริษัทที่ใช้ AI ช่วยเจ้าของกิจการ หาผู้สืบทอดธุรกิจ
Business

รู้จัก Shunsaku Sagami มหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้สร้างบริษัทที่ใช้ AI ช่วยเจ้าของกิจการ หาผู้สืบทอดธุรกิจ

5 มิ.ย. 2023
รู้จัก Shunsaku Sagami มหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้สร้างบริษัทที่ใช้ AI ช่วยเจ้าของกิจการ หาผู้สืบทอดธุรกิจ /โดย ลงทุนเกิร์ล
2.45 ล้าน คือ จำนวนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในประเทศญี่ปุ่น ที่ภายในปี 2025 จะมีเจ้าของหรือผู้ดูแลธุรกิจ เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ราว 1.27 ล้านกิจการ หรือคิดเป็น 51.8% ในจำนวนดังกล่าว
บอกว่าพวกเขา “ไม่มีผู้สืบทอดธุรกิจ” และเมื่อถึงวันที่เกษียณ พวกเขาอาจต้องจำใจ ปิดธุรกิจที่ปั้นมากับมือ..
เรื่องนี้กลายเป็นวิกฤติที่ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเร่งมือแก้ไข เพราะหากธุรกิจเหล่านี้ปิดตัวลง คาดว่าจะมีคนตกงานกว่า 6.5 ล้านคน และญี่ปุ่นอาจสูญเสียมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศอีก 6.7 ล้านล้านบาท ในปี 2025
อย่างไรก็ตาม ในวิกฤติย่อมมีโอกาสให้กับผู้ที่มองเห็นอยู่เสมอ และบริษัท M&A Research Institute ก็คือหนึ่งในนั้น
โดยบริษัทนี้เพิ่งก่อตั้งมาได้เพียง 5 ปี
แต่ปัจจุบันธุรกิจเติบโต จนมีมูลค่ากว่า 42,000 ล้านบาท
แล้ว M&A Research Institute มีแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดผู้สืบทอดธุรกิจของกิจการในญี่ปุ่น อย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ผู้ก่อตั้งบริษัท M&A Research Institute ก็คือ คุณ Shunsaku Sagami ชายหนุ่มรุ่นใหม่ ที่ปัจจุบันมีอายุเพียง 32 ปี
โดยในวัยเด็ก เขาได้เห็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของคุณปู่ ต้องปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะไม่สามารถหาผู้สานต่อกิจการได้
ซึ่งจากภาพจำในครั้งนั้น ก็ได้จุดความตั้งใจให้คุณ Sagami ในวัย 27 ปี ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นในปี 2018
เพื่อหวังช่วยเหลือธุรกิจที่กำลังเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกับคุณปู่ของเขา
โดยเป้าหมายหลักของ M&A Research Institute คือ การเป็นนายหน้าคอยช่วยเหลือธุรกิจ SME ที่มีเจ้าของเป็นผู้สูงวัยใกล้เกษียณ แต่ยัง “ไร้เงาผู้สืบทอดสานต่อกิจการ” ให้ได้มาจับคู่กับ “ผู้สืบทอดธุรกิจ” ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่มีความสนใจที่จะนำธุรกิจของพวกเขา ไปพัฒนาและสานต่อ..
ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่ยังคงมีความสามารถ และมีศักยภาพในการทำกำไร เพียงแต่ขาดคนมาสืบทอดธุรกิจเท่านั้น
โดยลูกค้าของบริษัท ก็มาจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมค้าปลีก, อุตสาหกรรมการก่อสร้าง, อุตสาหกรรมไอที
ทีนี้หลายคนคงสงสัยว่า บริษัทจะรู้ได้อย่างไร ว่า “ธุรกิจ” กับ “ผู้สืบทอด” มีความเหมาะสมกันจริง ?
หัวใจสำคัญและจุดเด่นที่ทำให้ M&A Research Institute แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น คือ การพัฒนาระบบอัลกอริทึม AI บนระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ M&A (Mergers and Acquisitions) หรือการควบรวม หรือซื้อ-ขายกิจการ อันเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท
ซึ่งระบบข้อมูลของที่นี่ ยังถือเป็นฐานข้อมูลด้าน M&A ที่น่าเชื่อถือและมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น จึงทำให้ระบบการจับคู่ระหว่างผู้ขาย (เจ้าของธุรกิจที่กำลังจะเกษียณ แต่ยังไม่มีผู้สืบทอด) กับผู้ซื้อ (ผู้สืบทอดธุรกิจ) อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยบริษัทเคยทำสถิติการปิดดีลข้อตกลงด้าน M&A เฉลี่ยที่เร็วที่สุดคือ 49 วันถึง 6 เดือน นับจากขั้นตอนในการยื่นคำร้องขอ M&A ไปจนถึงการสรุปสัญญาปิดดีล ในขณะที่บริษัทคู่แข่งทั่วไป ๆ อาจใช้เวลาเฉลี่ยมากกว่า 1 ปี
นอกจากนี้ในส่วนของการเรียกเก็บค่าบริการ M&A Research Institute ก็แตกต่างจากคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ ที่มักจะเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าก่อน โดยไม่มีการการันตีว่าสุดท้ายจะสามารถปิดดีลได้สำเร็จหรือไม่
ในทางกลับกัน M&A Research Institute เลือกที่จะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ จนกว่าจะดำเนินการปิดดีลข้อตกลง M&A ได้สำเร็จ
ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจของคุณ Sagami ที่ต้องการ​​ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ในการให้บริการลูกค้ามากกว่าที่ตัวเงิน
อย่างไรก็ตาม แม้คุณ Sagami จะยึดหลักการบริการลูกค้ามาก่อนเม็ดเงิน แต่ด้วยระบบการกำหนดราคาการบริการที่เป็นมิตรต่อลูกค้า และวิธีการดำเนินธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI เป็นหลัก
จึงทำให้บริษัทได้เปรียบเหนือคู่แข่ง และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย จนบริษัทมีผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยหากดูผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัท M&A Research Institute จะพบว่า
ปี 2020 มีรายได้ 93 ล้านบาท กำไร 1 ล้านบาท
ปี 2021 มีรายได้ 330 ล้านบาท กำไร 92 ล้านบาท
ปี 2022 มีรายได้ 970 ล้านบาท กำไร 330 ล้านบาท
รายได้เติบโตเฉลี่ย 223% ต่อปี
ขณะที่กำไรเติบโตเฉลี่ย อยู่ที่ 1,717% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้สำเร็จ ในเดือน ก.ค. ปี 2022
โดยปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 42,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 273% นับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างคุณ Sagami ซึ่งถือหุ้น M&A Research Institute อยู่ในสัดส่วนราว 72.4% ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินประมาณ 34,700 ล้านบาท
และทำให้เขาขึ้นแท่นกลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ คนล่าสุดในประเทศญี่ปุ่น เป็นที่เรียบร้อย
จากเรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า ปัญหาสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ที่ส่งผลกระทบในหลายมิติ และหนึ่งในนั้นก็คือ “ปัญหาการไม่มีผู้สืบทอดกิจการต่อ” เมื่อเจ้าของธุรกิจถึงวัยโรยรา ซึ่งอาจตามมาด้วยปัญหาการว่างงาน เศรษฐกิจ และสังคม
และถึงแม้บางธุรกิจจะมีทายาทสืบทอด แต่ความชอบและความตั้งใจที่จะสานต่อธุรกิจ มันไม่สามารถถ่ายทอดผ่านทาง DNA ได้
ดังนั้นการมีธุรกิจแบบบริษัท M&A Research Institute อาจเป็นหนึ่งในหนทางแก้ไข เพื่อสานต่อคุณค่าของธุรกิจนั้น ๆ ไว้
เพราะอย่างน้อยการตัดสินใจขายธุรกิจต่อ ให้กับคนที่ต้องการและเหมาะสม ก็เป็นแนวทางที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
รวมถึงอาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการ “ปิดกิจการ” ไปเฉย ๆ แบบน่าเสียดาย..
--------------------------------------------------
Presented by กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป พุ่งเป้าพัฒนาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) เพื่อเข้ามาเติมเต็มและต่อจิกซอว์เทรนด์ไลฟ์สไตล์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติที่มาใช้บริการร้าน Marimekko Pop-Up Café คาเฟแห่งแรกในโลก พร้อมเดินหน้าปูทางธุรกิจ F&B ภายใต้แบรนด์อื่นในเครือ หวังเจาะตลาดกลุ่มลูกค้า Gen Y - Gen Z มากขึ้น
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/
#TANACHIRA #MarimekkoCafeThailand
--------------------------------------------------
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.