Business
NIGAO แบรนด์น้ำยาฟอกผมชื่อญี่ปุ่น แต่เป็นของคนไทย
7 พ.ค. 2021
NIGAO แบรนด์น้ำยาฟอกผมชื่อญี่ปุ่น แต่เป็นของคนไทย /โดย ลงทุนเกิร์ล
ใครที่เป็นสายชอบย้อมสีผม หรือคนที่ทำธุรกิจบิวตีซาลอน น่าจะรู้จักกับแบรนด์ “NIGAO”
ที่หน้าตาของแพ็กเกจจิงเป็นสีขาวดำ และรูปสาวญี่ปุ่นที่กำลังสยายผม
ที่หน้าตาของแพ็กเกจจิงเป็นสีขาวดำ และรูปสาวญี่ปุ่นที่กำลังสยายผม
แล้วน้ำยาฟอกผมคืออะไร เกี่ยวอะไรกับการย้อมสีผม ?
ก่อนที่เราจะย้อมสีผมที่เราต้องการ เราต้องลงน้ำยาฟอกผม เพื่อให้ผมเป็นสีอ่อนเสียก่อน
ซึ่งแบรนด์ NIGAO เป็นหนึ่งในน้ำยาฟอกผมที่มีกลิ่นไม่แรง และช่วยปรับสีผมให้สม่ำเสมอได้เป็นอย่างดี
จนเกิดการบอกกันแบบปากต่อปาก และมีการรีวิวจากบิวตีบล็อกเกอร์จำนวนมาก
ซึ่งแบรนด์ NIGAO เป็นหนึ่งในน้ำยาฟอกผมที่มีกลิ่นไม่แรง และช่วยปรับสีผมให้สม่ำเสมอได้เป็นอย่างดี
จนเกิดการบอกกันแบบปากต่อปาก และมีการรีวิวจากบิวตีบล็อกเกอร์จำนวนมาก
ซึ่งนี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเริ่มคุ้นเคยกับหน้าตาแพ็กเกจจิงสุดมินิมัลของ NIGAO เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้ว NIGAO ที่ชื่อและแบรนด์เหมือนของญี่ปุ่นนี้
จริง ๆ แล้ว เป็นของบริษัท บิวตี้เบลนด์ จำกัด (Beauty Blend)
ซึ่งผู้บริหารคือคนไทย ชื่อว่าคุณภูริวัฒน์ เขียนขำ
จริง ๆ แล้ว เป็นของบริษัท บิวตี้เบลนด์ จำกัด (Beauty Blend)
ซึ่งผู้บริหารคือคนไทย ชื่อว่าคุณภูริวัฒน์ เขียนขำ
แล้ว NIGAO เริ่มต้นจากอะไร และทำไมจึงต้องเลือกทำผลิตภัณฑ์ ให้มีภาพลักษณ์แบบญี่ปุ่น ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
บริษัท บิวตี้เบลนด์ มีอายุบริษัท 14 ปี โดยก่อตั้งขึ้นในปี 2550
ซึ่งเกิดจากการที่ คุณภูริวัฒน์ นั้นได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงร้านเสริมสวยตั้งแต่วัยเด็ก
เนื่องจากคุณแม่และพี่ชาย ประกอบอาชีพเป็นช่างทำผม
ทำให้คุณภูริวัฒน์ คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมเป็นอย่างดี
จึงต้องการต่อยอดทำธุรกิจ โดยปั้นแบรนด์เป็นของตัวเอง
เนื่องจากคุณแม่และพี่ชาย ประกอบอาชีพเป็นช่างทำผม
ทำให้คุณภูริวัฒน์ คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมเป็นอย่างดี
จึงต้องการต่อยอดทำธุรกิจ โดยปั้นแบรนด์เป็นของตัวเอง
แต่คุณภูริวัฒน์ มองว่า “การมีแค่ประสบการณ์อย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้แบรนด์แข่งขันได้”
ดังนั้นก่อนจะปั้นแบรนด์ คุณภูริวัฒน์จึงได้มองหานวัตกรรมที่จะสร้างความแตกต่าง
โดยหลังจากที่คุณภูริวัฒน์ เริ่มต้นศึกษาผู้บริโภคในตลาดนี้อย่างจริงจัง
ก็พบว่า ปัญหาของกลุ่มลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณท์เปลี่ยนสีผม
คือ กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และเมื่อเวลาผ่านไป สีผมมักจะเปลี่ยนเฉดเป็นสีเหลือง
โดยหลังจากที่คุณภูริวัฒน์ เริ่มต้นศึกษาผู้บริโภคในตลาดนี้อย่างจริงจัง
ก็พบว่า ปัญหาของกลุ่มลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณท์เปลี่ยนสีผม
คือ กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และเมื่อเวลาผ่านไป สีผมมักจะเปลี่ยนเฉดเป็นสีเหลือง
ทำให้บิวตี้เบลนด์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ NIGAO
ด้วยส่วนผสมที่ปราศจากแอมโมเนีย และปรับสูตรให้ได้สีที่สม่ำเสมอ
ซึ่งก็กลายมาเป็นจุดเด่นของแบรนด์จนถึงทุกวันนี้
ด้วยส่วนผสมที่ปราศจากแอมโมเนีย และปรับสูตรให้ได้สีที่สม่ำเสมอ
ซึ่งก็กลายมาเป็นจุดเด่นของแบรนด์จนถึงทุกวันนี้
แล้วทำไมเขาถึงต้องทำภาพลักษณ์ให้เป็นสไตล์ญี่ปุ่น ?
ลองสังเกตว่า ผลิตภัณฑ์ทำสีผม หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผมชื่อดังต่าง ๆ ที่อยู่ในไทย
มักจะเป็นของแบรนด์ต่างประเทศ ที่เข้ามาครองตลาดในสัดส่วนที่ใหญ่มาก ๆ
โดยเฉพาะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
มักจะเป็นของแบรนด์ต่างประเทศ ที่เข้ามาครองตลาดในสัดส่วนที่ใหญ่มาก ๆ
โดยเฉพาะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ดังนั้นคุณภูริวัฒน์ จึงต้องการยกระดับแบรนด์ให้มีความเป็นสากล
เพิ่มความทันสมัย ความพรีเมียม
เพิ่มความทันสมัย ความพรีเมียม
และการที่ปรับภาพลักษณ์ให้มีความเป็นญี่ปุ่น
ก็เพราะต้องการสื่อสารถึงความพิถีพิถัน ใส่ใจทุกรายละเอียด
ก็เพราะต้องการสื่อสารถึงความพิถีพิถัน ใส่ใจทุกรายละเอียด
โดย NIGAO ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ภาพเสมือน
แบรนด์ NIGAO จึงเปรียบเสมือน “สุนทรียภาพในความงามแบบญี่ปุ่น”
และ NIGAO ก็ต้องการที่จะส่งมอบความงามนี้แก่ทุก ๆ คน
แบรนด์ NIGAO จึงเปรียบเสมือน “สุนทรียภาพในความงามแบบญี่ปุ่น”
และ NIGAO ก็ต้องการที่จะส่งมอบความงามนี้แก่ทุก ๆ คน
ซึ่งในปัจจุบัน NIGAO ไม่ได้มีเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ฟอกผมเท่านั้น
แต่ยังมีผลิตภัณฑ์ครีมยืดผม น้ำยาดัดผม และย้อมสีผม ที่เน้นใช้ส่วนผสมของสมุนไพร
แต่ยังมีผลิตภัณฑ์ครีมยืดผม น้ำยาดัดผม และย้อมสีผม ที่เน้นใช้ส่วนผสมของสมุนไพร
โดยราคาของผลิตภัณฑ์ของ NIGAO ก็อยู่ในราคาที่จับต้องได้
เช่น NIGAO Bleaching Cream Maxx Light ราคา 168 บาท
NIGAO Developer Cream ราคา 45 บาท
เช่น NIGAO Bleaching Cream Maxx Light ราคา 168 บาท
NIGAO Developer Cream ราคา 45 บาท
แล้วรายได้และกำไรของ บริษัท บิวตี้เบลนด์ จำกัด เป็นอย่างไร ?
ปี 2561 รายได้ 77 ล้านบาท กำไร 5.6 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 95 ล้านบาท กำไร 9.3 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 85 ล้านบาท กำไร 11.8 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 95 ล้านบาท กำไร 9.3 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 85 ล้านบาท กำไร 11.8 ล้านบาท
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ลองคิดดูว่า ใน 1 ปี เราจะฟอกสีผมหรือย้อมผมกันสักกี่ครั้ง
นั่นก็แปลว่า แบรนด์นี้มีกลุ่มลูกค้าอยู่เป็นคนจำนวนมาก ในขณะที่ก็มีผู้เล่นอื่น ๆ อยู่ในตลาดนี้กันไม่น้อย
นั่นก็แปลว่า แบรนด์นี้มีกลุ่มลูกค้าอยู่เป็นคนจำนวนมาก ในขณะที่ก็มีผู้เล่นอื่น ๆ อยู่ในตลาดนี้กันไม่น้อย
จากเรื่องนี้เราคงจะได้เห็นแล้วว่า แม้ธุรกิจเราจะมาทีหลัง
และเกิดมาท่ามกลางคู่แข่งเจ้าใหญ่ ๆ มากมาย
และเกิดมาท่ามกลางคู่แข่งเจ้าใหญ่ ๆ มากมาย
แต่ถ้าหากเราพยายามมองหาจุดแข็ง ที่เกิดจากจุดอ่อนของแบรนด์อื่น
และทำสิ่งที่ลูกค้ากำลังต้องการได้อย่างแท้จริง
การที่แบรนด์จะเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้า ก็จะทำได้ไม่ยาก
และทำสิ่งที่ลูกค้ากำลังต้องการได้อย่างแท้จริง
การที่แบรนด์จะเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้า ก็จะทำได้ไม่ยาก
เหมือนกับแบรนด์ NIGAO ที่กำลังเป็นที่รู้จักในวงการคนชอบทำสีผม
ที่แม้จะมาทีหลังและมีอายุเพียงแค่สิบกว่าปี..
ที่แม้จะมาทีหลังและมีอายุเพียงแค่สิบกว่าปี..