Sirius XM บริษัทคลื่นวิทยุที่บัฟเฟตต์ถือหุ้น ในยุคที่คนฟังเพลงสตรีมมิง /โดย ลงทุนเกิร์ล

ในยุคที่สตรีมมิงครองโลก ยังมีใครฟังเพลงผ่านคลื่นวิทยุหรือไม่ ?

คำถามนี้ เชื่อว่าถ้าเอาไปถามคนต่างวัยก็ต่างคำตอบ และคนรุ่นใหม่ก็คงคิดว่าธุรกิจวิทยุมันใกล้หมดลมหายใจแล้ว
แต่ถ้าลองไปถามคุณปู่บัฟเฟตต์ เขาคงไม่คิดเช่นนั้น

เพราะไม่นานมานี้มีข่าวว่าบริษัท Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้ทุ่มเงินกว่า 3,300 ล้านบาท ซื้อ 3.6 ล้านหุ้นของ Sirius XM

และนี่ไม่ใช่การซื้อครั้งแรก เพราะ Berkshire Hathaway ได้ทุ่มเงินซื้อหุ้นนี้แล้วถึง 4 ครั้ง จนทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในสัดส่วน 32% ของบริษัท คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 100,000 ล้านบาท

แล้วบริษัทคลื่นวิทยุ Sirius XM น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง

ย้อนกลับไปสมัยก่อน การฟังเพลงบนรถก็มีตัวเลือกไม่กี่ทาง หากเราไม่มีแผ่นซีดี ก็ต้องเปิดวิทยุ

ทำให้ยุคนั้น ธุรกิจคลื่นวิทยุเฟื่องฟูมาก ฝั่งสหรัฐอเมริกาก็มี 2 สถานีที่เป็นคู่แข่งกันมานานอย่าง

Sirius Satellite RadioXM Satellite Radio

ซึ่งต่างฝ่ายต่างทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ฟัง จนเริ่มคิดว่าหากยังแข่งขันกันต่อไป อาจนำไปสู่ภาวะล้มละลายทั้งคู่ จึงมีการเจรจาเพื่อควบรวมกันในปี 2005

สุดท้ายจากคู่แข่ง ทั้งสองก็ได้ควบรวมเป็นบริษัทเดียวกันในปี 2008 ภายใต้ชื่อว่า “Sirius XM” ซึ่งปัจจุบันคือผู้ให้บริการวิทยุผ่านดาวเทียมรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา

พอควบรวมกันแล้ว จากคลื่นวิทยุดาวเทียม ก็ขยายกลายเป็นกล่องรับสัญญาณดาวเทียมติดรถยนต์ของตัวเอง ที่เปิดแล้วจะมีหลาย Channel ย่อย ๆ อีกที

Channel ในนั้นก็มีทั้งเพลง ข่าว กีฬา และสื่อความบันเทิงอื่น ๆ ฟังได้ทั้งบนรถ และผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งลูกค้าจะเสียค่าบริการสมาชิกรายเดือน หรือที่เรียกว่าระบบ Subscription เป็นรายได้หลักของธุรกิจ

โดยราคาสมาชิกจะเริ่มต้นที่ 340 บาท ฟังได้เฉพาะเพลง และ Full Package ฟังได้ทุกอย่างอยู่ที่ 840 บาท

อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะมีบางคนเริ่มคิดว่าสิ่งที่ได้รับมันก็ไม่ค่อยต่างกับที่เราเปิดฟังเองในอินเทอร์เน็ต จะมีคนสมัครเท่าไรกัน

ก็ต้องตอบว่าตอนนี้ Sirius XM มีสมาชิก อยู่ที่ 34 ล้านคน

นอกจากนี้บริษัทยังมีรายได้มาจากค่าโฆษณา และการขายเครื่องเสียงติดรถยนต์ยี่ห้อของตัวเองซึ่งเราสามารถนำไปติดรถเองได้ ราคาขายอยู่ที่หลักพันบาท

แม้รายได้จะดูเยอะ แต่ความจริงแล้ว ความท้าทายของบริษัทก็ไม่ใช่น้อย ๆ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา Sirius XM ก็เจอปัญหารอบด้าน เช่น

คนสามารถเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนกับรถยนต์ได้ง่ายขึ้น ผ่าน Bluetooth, สาย AUXคู่แข่งอย่าง Spotify, Netflix และ YouTube โตขึ้นอย่างแข็งแกร่งมีระบบปฏิบัติการที่ติดมากับรถยนต์โดยเฉพาะ เช่น Tesla Spotify ที่มีฐานสมาชิกกว่า 246 ล้านคน

ยังไม่รวมถึงปัจจัยภายนอก เช่น พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป คนชอบเปิดเพลงเอง หรือการเติบโตของสมาร์ตโฟนที่สามารถทำได้หลายอย่างมากขึ้น

แน่นอนว่าบริษัทเองก็มีการแก้เกม โดยกลยุทธ์สำคัญก็คือการดีลกับบริษัทผลิตรถยนต์ เช่น Ford และ Toyota

ให้นำเครื่องเสียงของตัวเองไปติดตั้งกับรถยนต์โดยตรง พอมีลูกค้าซื้อรถยนต์คันใหม่ ก็จะได้เครื่องเสียงติดรถยนต์ของ Sirius XM มาด้วย และได้ลองใช้กันฟรี ๆ

นอกจากนั้นก็มีการปรับปรุงคอนเทนต์ให้เข้ากับคนสมัยนี้

โดยตอนนี้ก็มีรายการ Talk radio ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาอย่าง Howard Stern และรายการ Call Her Daddy ที่บริษัทเพิ่งซื้อมามูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาท

อีกทั้ง Sirius XM ยังไปซื้อกิจการแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง Pandora ที่มีฐานผู้ฟังเพลงออนไลน์จำนวนมากอีกด้วย

แต่ส่วนที่นักลงทุนมองเป็นหลัก ก็คงเป็นแหล่งที่มาของรายได้ของบริษัทที่ค่อนข้างมั่นคง

โดย 76% จากรายได้ทั้งหมดของ Sirius XM มาจากระบบ Subscription ซึ่งอัตราการยกเลิกใช้บริการก็ค่อนข้างต่ำอยู่ที่เพียง 1% กว่า ๆ และเป็นตัวเลขคงที่มา 5 ปีแล้ว

ซึ่งพอรายได้หลักมาจากค่าบริการรายเดือน ก็ทำให้บริษัทยังมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ
เรื่องที่น่าสนใจก็คือ Sirius XM มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ราว 4%

หากเรามาดูผลประกอบการของบริษัท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ปี 2021 รายได้ 297,563 ล้านบาท กำไร 44,972 ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ 308,281 ล้านบาท กำไร 41,516 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 306,570 ล้านบาท กำไร 43,058 ล้านบาท
12 เดือนล่าสุด รายได้ 301,278 ล้านบาท ขาดทุน 44,770 ล้านบาท
(เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายพิเศษ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หากไม่มีรายการนี้ บริษัทจะมีกำไรเท่า ๆ เดิม)

ปัจจุบัน Sirius XM มีมูลค่าบริษัทอยู่ราว 309,278 ล้านบาท มูลค่าลดลงมากว่า 6 ใน 10 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีมูลค่าบริษัท เมื่อเทียบกับกำไร 12 เดือนล่าสุด หรือ P/E ราว 7 เท่า เท่านั้น..

ซึ่งช่วงนี้ ก็ดูเหมือนว่า Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ จะชอบหุ้นราคาถูก
เพราะไม่กี่เดือนก่อน ก็เพิ่งเข้าไปลงทุนใน Ulta Beauty ก่อนที่จะขายออกมา ในลักษณะนี้เหมือนกัน

เมื่อไม่นานมานี้ Sirius XM ก็ได้มีการทำ Reverse Stock Split หรือรวมหุ้น ในอัตราส่วน 1 ต่อ 10

อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้ 1 หุ้นใหม่ ต่อหุ้นเดิม 10 หุ้นที่ถืออยู่ เพื่อ

เพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุน และสถาบันลดความผันผวนของราคาหุ้น

อย่างไรก็ตาม Sirius XM เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่พึ่งพาการเติบโตของอีกธุรกิจหนึ่งในการเติบโต ซึ่งก็คือธุรกิจรถยนต์

แม้ตอนนี้เศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัว ทำให้คนซื้อรถยนต์น้อยลง แต่คนบางส่วนก็คิดว่าภายในปี 2025 หลังการเลือกตั้งเสร็จ เศรษฐกิจจะฟื้นตัว

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เป็นไปได้ที่ธุรกิจรถยนต์จะขายออกง่ายขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจวิทยุของ Sirius XM และความมั่งคั่งของวอร์เรน บัฟเฟตต์ต่ออีกทอดหนึ่งด้วย

และก็น่าจับตาดูเหมือนกันว่า Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ จะลงทุนในธุรกิจคลื่นวิทยุนี้ แบบไหน

จะถือยาว ๆ ไปเลยเหมือนหลายบริษัทในพอร์ตการลงทุน
หรือจะถือแค่เพียงช่วงสั้น ๆ เหมือนกับ Ulta Beauty เมื่อไม่นานมานี้..

คำเตือน: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

References:
-https://www.forbes.com/sites/greatspeculations/2024/09/16/where-is-sirius-stock-headed-post-reverse-stock-split/
-https://www.investopedia.com/siriusxm-stock-surges-after-warren-buffett-berkshire-hathaway-boosts-its-stake-8727880
-https://www.fool.com/investing/2024/10/27/warren-buffett-keeps-buying-sirius-xm-stock-should/
-https://www.fool.com/investing/2024/10/23/why-warren-buffett-loves-sirius-xm-stock/
-The INSANE Battle For Your Car Radio | The History of SiriusXM โดย Classic Car Documentaries