วิเคราะห์จุดเด่น 2nd Street ร้านรับซื้อ-ขายสินค้ามือสองจากญี่ปุ่น ที่ขยาย 900 สาขาทั่วโลก
Business

วิเคราะห์จุดเด่น 2nd Street ร้านรับซื้อ-ขายสินค้ามือสองจากญี่ปุ่น ที่ขยาย 900 สาขาทั่วโลก

21 ต.ค. 2024
วิเคราะห์จุดเด่น 2nd Street ร้านรับซื้อ-ขายสินค้ามือสองจากญี่ปุ่น ที่ขยาย 900 สาขาทั่วโลก /โดย ลงทุนเกิร์ล
“ตาดีได้ ตาร้ายเสีย”
คือ สำนวนที่เข้ากันได้ดีกับการเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสอง
เนื่องจากเราอาจต้องไปขุดคุ้ยในกองผ้าใหญ่ ๆ เพื่อหาไอเทมที่ถูกใจ ในราคาสบายกระเป๋า
แต่ที่ร้าน 2nd Street เราอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ตาดีในการคัดเลือกนัก
เพราะในร้านนี้แขวนเสื้อผ้ามือสองสภาพดี ราวกับเดินอยู่ในร้านเสื้อผ้าใหม่ ๆ
ที่น่าสนใจคือ ร้าน 2nd Street ก่อตั้งสาขาแรกที่จังหวัดคางาวะ จังหวัดที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น แต่สามารถขยายสาขาไปทั่วญี่ปุ่น
รวมถึงในสหรัฐฯ, มาเลเซีย, ไต้หวัน และอีก 2 สาขาในไทย ที่บิ๊กซีพระราม 4 และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
แล้วอะไรที่ทำให้ 2nd Street ตีตลาดได้ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและนอกประเทศญี่ปุ่น ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ต้องบอกว่า ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่นิยมซื้อสินค้ามือสองเอามาก ๆ เริ่มมีการซื้อ-ขายสินค้ามือสองมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980
หลังจากช่วงวิกฤติฟองสบู่แตก ที่ทำให้พฤติกรรมทางการเงินของชาวญี่ปุ่น จำเป็นต้องประหยัดอดออม ไม่กล้าใช้จ่าย และเริ่มหันมาขายสินค้าของตนเองเพื่อประทังชีวิต
แม้ว่าในช่วงแรก คนญี่ปุ่นบางกลุ่ม จะยังมีความคิดแง่ลบ กับธุรกิจซื้อ-ขายสินค้ามือสอง โดยมองว่าเหมือนโรงรับจำนำ ที่นำของมีค่าไปแลกกับเงินเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ทัศนคติของคนญี่ปุ่นก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อธุรกิจสินค้ามือสอง เริ่มมีการจัดการที่เป็นระบบ และน่าเชื่อถือมากขึ้น จนกลายเป็นธุรกิจที่แพร่หลายในปัจจุบัน
ประกอบกับค่านิยมของคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และมองหาไอเทมแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์ สามารถบ่งบอกความเป็นตัวเองได้ในราคาที่สมเหตุสมผล
ซึ่งค่านิยมเหล่านี้ยิ่งขับเคลื่อนให้ตลาดสินค้ามือสองในญี่ปุ่นเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างในปี 2023 ที่ผ่านมา ตลาดสินค้ามือสองมีมูลค่าตลาดสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท และคาดว่าจะโตราว 14% ในปีนี้
และหากใครเคยไปเที่ยวญี่ปุ่น คงเคยสังเกตเห็นว่า มีร้านขายของมือสองอยู่หลายร้านในตัวเมือง ซึ่งร้านที่เราหยิบมาวิเคราะห์กันวันนี้คือ ร้านชื่อดังอย่าง 2nd Street
2nd Street ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1996
ปัจจุบันมีสาขาราว 900 สาขาทั่วโลก
หากคิดง่าย ๆ เท่ากับว่าร้านนี้สามารถขยายสาขาเฉลี่ย 32 สาขาต่อปี
แล้วร้าน 2nd Street มีจุดน่าสนใจอะไร ที่ทำให้โดดเด่นกว่าร้านขายสินค้ามือสองทั่วไป ?
อันดับแรกคือ มีผู้เชี่ยวชาญที่จุดบริการรับซื้อสินค้า
เนื่องจากร้าน 2nd Street เป็นร้านค้ามือสองที่ครบวงจร ทั้งรับซื้อและขายสินค้ามือสองหลากหลายชนิด
ทางร้านจึงมีพนักงานรับซื้อที่ผ่านการอบรมเฉพาะประจำที่ร้าน เพื่อคอยคัดคุณภาพสินค้า และประเมินราคา
ซึ่งกระบวนการนี้ค่อนข้างใช้เวลา ทางร้านจึงมีระบบจัดการคิวเป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างในไทย หากใครต้องการนำสินค้าไปขาย จะต้องกรอกรายละเอียดข้อมูล ยืนยันตัวตนกับพนักงานที่ร้าน ซึ่งทางร้านมีคิวรับซื้อสินค้าจำกัด 60 คิวต่อวัน หรือต้องจองคิวล่วงหน้าผ่าน LINE ของร้าน
ตรงนี้เราจะเห็นว่า การมีผู้เชี่ยวชาญที่คอยคัดกรองแบรนด์และคุณภาพสินค้า เป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้ 2nd Street มีความน่าเชื่อถือ เสมือนกับมีคนคอยคัดกรองสินค้ามาให้ระดับหนึ่ง ก่อนนำมาวางขายที่หน้าร้าน
ถัดมาคือ ราคาสินค้าที่สมเหตุสมผล
2nd Street จะรับซื้อ-ขายของมือสอง เช่น เสื้อผ้า, กระเป๋า, หมวก, เครื่องประดับ ไปจนถึง เฟอร์นิเจอร์, ของใช้ในบ้าน และอุปกรณ์สำหรับงานอดิเรก (ขึ้นอยู่กับแต่ละสาขา)
ซึ่งการตีราคาซื้อ-ขาย ขึ้นอยู่กับสภาพสินค้า และมูลค่าตามเทรนด์แฟชั่นในช่วงเวลานั้น โดยสินค้ามีตั้งแต่ของเก่าวินเทจ ไปจนถึงสินค้าแบรนด์หรูรุ่นฮิต หรือเสื้อผ้าคอลเลกชันพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัด
โดยช่วงราคาจะมีตั้งแต่เสื้อผ้าหลักร้อยบาท ไปจนถึงกระเป๋าแบรนด์หรูหลักแสนบาท ดังนั้นเมื่อร้านมีกรอบราคาที่กว้าง ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น
พูดให้เห็นภาพก็คือ ลูกค้าจะมีตั้งแต่สายแฟชั่นเน้นประหยัดงบ ไปจนถึงสายสะสมของแบรนด์หรูวินเทจ
จุดเด่นสุดท้ายคือ การจัดการสินค้าภายในร้าน
สินค้าจะถูกจัดเรียงตามโซนชื่อแบรนด์ และโซนเสื้อผ้าแฟชั่น มักจะจัดเรียงเสื้อผ้าตามโทนสีเข้มไปสีอ่อน เพิ่มความสะดวกในการหาสินค้าให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ยังมีป้ายห้อยแบ่งเกรดสินค้าตามมูลค่าของแบรนด์และสภาพการใช้งาน
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้สายช็อปสนุกยิ่งขึ้นคือ 2nd Street ในแต่ละสาขา จะมีสินค้าที่ไม่เหมือนกัน อย่างในสาขาบิ๊กซีพระราม 4 จะมีสินค้าแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายมากกว่า ขณะที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ จะคัดสรรสินค้าแบรนด์หรูในสัดส่วนเยอะกว่า
กระทั่งสาขาในญี่ปุ่น ก็มีความหลากหลายตามย่านที่ร้านไปตั้งอยู่ เช่น สาขาที่ฮาราจูกุ จะมีการแบ่งโซนตามสไตล์แฟชั่น เช่น โซนแฟชั่นสไตล์ Y2K, โซนเสื้อผ้าวินเทจ และโซนแฟชั่นสไตล์ Military
อ่านมาถึงตรงนี้ เราอาจสรุปได้ว่า ในยุคสมัยที่บริษัทต่าง ๆ มักจะคิดค้นสินค้าใหม่ออกมาวางขายเสมอ
แต่ธุรกิจซื้อ-ขายของมือสองอย่าง 2nd Street กลับมีจุดยืนที่แตกต่าง ด้วยการเก็บของที่ผ่านการใช้แล้ว มาทำให้มีมูลค่ามากขึ้น
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ 2nd Street ประสบความสำเร็จ ไม่ได้มาจากพฤติกรรมการใช้เงิน หรือค่านิยมของชาวญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว
แต่มาจากการจัดระบบการจัดการ ตั้งแต่สินค้าและพนักงานในร้านให้มีความน่าเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์แข็งแกร่ง จน 2nd Street สามารถต่อยอดขยายสาขาไปได้ทั่วโลกนั่นเอง..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.