รู้จัก “SKI” เทรนด์พฤติกรรมคนวัยเกษียณ หันมาใช้เงินเพื่อตัวเอง แทนที่จะเก็บไว้ให้ลูกหลาน
Economy

รู้จัก “SKI” เทรนด์พฤติกรรมคนวัยเกษียณ หันมาใช้เงินเพื่อตัวเอง แทนที่จะเก็บไว้ให้ลูกหลาน

13 ก.ค. 2024
รู้จัก “SKI” เทรนด์พฤติกรรมคนวัยเกษียณ หันมาใช้เงินเพื่อตัวเอง แทนที่จะเก็บไว้ให้ลูกหลาน /โดย ลงทุนเกิร์ล
หากใครเคยได้ยินคำว่า “The Great Wealth Transfer” นั่นก็คือการที่เหล่าเศรษฐีพันล้านดอลลาร์สหรัฐ รุ่น Baby Boomers ในสหรัฐฯ จะส่งต่อความมั่งคั่งที่สั่งสมมาให้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน
โดยรายงานจาก Vanguard หนึ่งในบริษัทจัดการการลงทุนรายใหญ่ของโลก ระบุว่ามูลค่าความมั่งคั่งที่จะถูกส่งผ่านระหว่างเจเนอเรชันในสหรัฐฯ ภายในปี 2030 จะอยู่ที่ราว 380 ล้านล้านบาท ขณะที่ในเอเชียจะอยู่ที่ราว 100 ล้านล้านบาท
และอาจจะทำให้คนรุ่น Millennials ที่เกิดระหว่างปี 1981-1996 กลายเป็นกลุ่มคนที่มั่งคั่งที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่เรื่องนี้อาจใช้ไม่ได้กับสองคู่รักชาวออสเตรเลียอย่างคุณ Leanne และคุณ Leon Ryland ที่เพิ่งออกมาเปิดเผยว่าหลังเกษียณพวกเขาใช้เงินเก็บจำนวนมากไปกับการท่องเที่ยวแทนที่จะมอบให้กับลูก ๆ
อีกทั้งระบุว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้น เป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ Spend the Kids' Inheritance หรือ SKI
แล้ว SKI คืออะไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
SKI หรือ Spend the Kids' Inheritance คือ พฤติกรรมที่พ่อแม่วัยเกษียณหันมาใช้เงินเก็บไปกับการท่องเที่ยว และใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง
ซึ่งคุณ Leanne และคุณ Leon Ryland เล่าว่า ทั้งคู่ใช้เงินไปมากกว่า 6 ล้านบาทกับทริปพักผ่อนสุดหรูและการเดินทางท่องโลก โดยไปมาทั้ง มาชูปิกชูที่ประเทศเปรู รวมถึงฝั่งเอเชียอย่างอินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟส์ และจะมีทริปไปสหรัฐฯ อีกเร็ว ๆ นี้
เหตุผลของทั้งคู่คือถ้าไม่ใช้เงินตอนนี้จะได้ใช้ตอนไหน และถ้าไม่เที่ยวตอนนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าก็คงจะไม่มีแรงเดินขึ้นกำแพงเมืองจีน หรือไปมาชูปิกชูอย่างที่ทำมา
พวกเขายังพูดติดตลกด้วยว่า สิ่งเดียวที่ลูก ๆ จะได้รับเป็นมรดกก็คงจะเป็นของกระจุกกระจิกที่พวกเขาแวะซื้อตอนไปเที่ยวนั่นแหละ
นอกจากนี้สองสามีภรรยายังตั้งกลุ่มในเฟซบุ๊กโดยใช้ชื่อว่า “SKIclub” เป็นกลุ่มที่คอยแชร์เรื่องราวการเดินทางเพื่อเป็นทริกให้กับเหล่าวัยเกษียณที่ยังมีเงินให้ทำตามความฝัน
เรียกได้ว่าเป็นชีวิตวัยเกษียณในฝันของใครหลายคนเลยทีเดียว..
แต่อีกฝั่งของความคิดเห็น ก็มีชาวเน็ตบางส่วนที่มองว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นเรื่อง “เห็นแก่ตัว” เพราะครอบครัวควรจะช่วยเหลือกันให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
หรือแม้แต่บอกให้ทั้งคู่นึกถึงลูก ๆ ว่ามั่นคงแล้วหรือยัง พร้อมเสริมว่าในมุมของพวกเขาจะให้ความสำคัญกับความต้องการของลูก ๆ มาก่อนความต้องการของตัวเองเสมอในฐานะพ่อแม่
ขณะที่กลุ่มคนที่เห็นด้วยกลับมองว่าเราไม่ควรมานั่งคาดหวังว่าจะได้รับมรดกจากใคร หรือถ้าเกิดได้ขึ้นมาจริง ๆ ก็ให้ถือว่าโชคดีไป และคนที่หาเงินมาได้ก็มีสิทธิ์จะใช้ตามใจตัวเอง
ไปจนถึงความเห็นที่ว่าไม่ควรมีลูกหลานคนไหนมานั่งคาดหวัง รอรับมรดกจากพ่อแม่ตัวเองเพียงอย่างเดียว
แต่ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร สิ่งสำคัญที่คนหนุ่มสาวยังทำได้ตอนนี้คือการเรียนรู้ที่จะบริหารเงินสำหรับอนาคต
เพราะเมื่อวัยเกษียณล่วงเลยมาถึง อย่างน้อยก็ยังมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะใช้มันเพื่อใคร…
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.