รู้จักกับ ธนาคารไทยเครดิต ธนาคารแรกในรอบ 10 ปี ที่ IPO ในตลาดหุ้นไทย
Business

รู้จักกับ ธนาคารไทยเครดิต ธนาคารแรกในรอบ 10 ปี ที่ IPO ในตลาดหุ้นไทย

26 ม.ค. 2024
ไทยเครดิต x ลงทุนเกิร์ล
หนี้นอกระบบ คือ หนึ่งในปัญหาที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนาน
รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดของการกู้ยืมเงินในระบบอยู่ที่ 6.7 ล้านล้านบาท
ขณะที่มูลค่าตลาดของการกู้ยืมนอกระบบอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ลูกหนี้จำนวนไม่น้อยตัดสินใจกู้ยืมนอกระบบ แม้จะต้องแลกกับอัตราดอกเบี้ยที่สุดท้ายแล้วอาจจะสูงกว่าเงินต้นหลายเท่าตัว เพราะลูกหนี้ไม่สามารถเข้าถึงการกู้ยืมในระบบได้
อย่างไรก็ตาม แม้ปัญหาหนี้นอกระบบจะยังไม่ได้ถูกปลดล็อก
แต่หนึ่งในธนาคารพาณิชย์ที่มีความมุ่งมั่นจะเป็นส่วนหนึ่ง ในการตัดวงจรลูกหนี้จากนอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบมาโดยตลอด คือ ธนาคารไทยเครดิต
ซึ่งล่าสุด กำลังจะมีมูฟเมนต์สำคัญคือ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่จะ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ในรอบ 10 ปี​
ธนาคารไทยเครดิต คือใคร ?
การ IPO ของธนาคารไทยเครดิตจะส่งผลดีอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ธนาคารไทยเครดิต เริ่มต้นธุรกิจในปี 2513 ในชื่อของ บริษัท กรุงเทพสินทวี จำกัด
จากนั้นในปี 2526 เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เครดิตฟองซิเอร์ ไทยเคหะ จำกัด
ก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ในปี 2550
และล่าสุด ได้รับการยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบในปี 2566
จุดเด่นของธนาคารไทยเครดิต คือ เป็นธนาคารพาณิชย์
ที่เน้นปล่อยสินเชื่อ ให้กลุ่มคนที่มักเข้าไม่ถึงแหล่งกู้เงินในระบบ มากว่า 10 ปี
โดยหลัก ๆ แล้ว ธนาคารไทยเครดิต จะปล่อยสินเชื่อ 2 ประเภท ได้แก่
- สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (MSME) สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดเล็ก
- สินเชื่อไมโครและนาโนไฟแนนซ์ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่มีแผงค้าในตลาด และร้านค้าขนาดเล็ก
นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล และสินเชื่อรายย่อยอื่น ๆ
ถ้าไปดูสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร ณ วันที่ 30 ก.ย. 66 ซึ่งมีมูลค่า 138,435 ล้านบาท จะประกอบด้วย
- สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี 67.7%
- สินเชื่อไมโครและนาโนไฟแนนซ์ 15.3%
- สินเชื่อบ้านแลกเงิน 15.2%
- อื่น ๆ 1.8%
จุดแข็งถัดมา คือ ธนาคารไทยเครดิตมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน และเข้าใจลูกค้า
โดยธนาคารไทยเครดิตเน้นตั้งสาขาสินเชื่อขนาดเล็ก ๆ ในชุมชน
พร้อมกันนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่คอยลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เข้าใจอินไซต์ของลูกค้า และสามารถแก้ปัญหาให้ลูกหนี้ได้อย่างตรงจุด
ปัจจุบัน ณ 30 ก.ย. 66 ธนาคารไทยเครดิตมีสาขาสินเชื่อและ Kiosk รวมทั้งหมด 500 สาขา
กระจายอยู่ตามชุมชนทั่วประเทศไทย และมีสาขาเงินฝากอีก 27 สาขา
ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ
จากจุดแข็งดังกล่าว ทำให้ธนาคารไทยเครดิตมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคง
- เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ของธนาคารไทยเครดิต มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2563-2565 อยู่ที่ 33% ต่อปี
ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มสถาบันการเงิน
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ หรือ Net Interest Margin (NIM) ของธนาคารไทยเครดิต สำหรับงวด 12 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 66 อยู่ที่ 8.2%
ซึ่งจัดว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 36.2%
ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในบรรดาธนาคารพาณิชย์
เหตุผลหลัก ๆ มาจากโมเดลธุรกิจของธนาคารไทยเครดิตที่เน้นตั้งสาขาต้นทุนต่ำ สำหรับการให้บริการสินเชื่อในชุมชน จึงมีต้นทุนต่อสาขาที่ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ
มาถึงคำถามที่น่าจะคาใจหลาย ๆ คนว่า การที่ธนาคารไทยเครดิตเน้นปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า และร้านค้าขนาดเล็ก โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน จะเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสียหรือไม่
ต้องบอกว่า แม้กลุ่มลูกค้าหลักของธนาคารจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
แต่ด้วยการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม ทำให้ธนาคารไทยเครดิตมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพหรือ NPL Ratio ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 4% เท่านั้น
นอกจากนี้ ธนาคารไทยเครดิตได้ตั้งสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ทำให้เกิดรายได้ หรือ NPL Coverage ใน 9 เดือนแรกของปี 2566 ไว้ที่ 165% และได้รับการค้ำประกันจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมากกว่า 60% ของ NPL ทั้งหมดอีกด้วย
จากจุดแข็งและจุดเด่นในการบริหารงาน เราลองมาดูผลประกอบการของธนาคารไทยเครดิตกันบ้าง
ปี 2563 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 6,370.9 ล้านบาท กำไร 1,372.9 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 8,493.6 ล้านบาท กำไร 1,935.0 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 11,052.3 ล้านบาท กำไร 2,352.5 ล้านบาท
- รายได้เติบโตเฉลี่ยสะสม ระหว่างปี 2563-2565 (CAGR) 31.7% ต่อปี
- กำไรเติบโตเฉลี่ยสะสม ระหว่างปี 2563-2565 (CAGR) 30.9% ต่อปี
และ 9 เดือนแรกของปี 2566
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 9,783.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,816.7 ล้านบาท
จะเห็นว่า ธนาคารไทยเครดิตถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีผลประกอบการเติบโตดีที่สุดในอุตสาหกรรม
และมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 21.8%
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มของผู้ให้บริการทางการเงินที่มี ROE สูงสุด
ด้วยจุดแข็งและผลงานดังกล่าวนี้เอง ทำให้ล่าสุดธนาคารไทยเครดิตตัดสินใจเดินเกมรุกครั้งใหญ่
ด้วยการเสนอขายหุ้น IPO
เป้าหมายหลัก ๆ ก็เพื่อเพิ่ม​ความแข็งแกร่งของเงินกองทุนธนาคารฯ เพื่อขยายเงินลงทุนของพอร์ตสินเชื่อ
รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล และโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมูฟเมนต์ที่น่าจับตา
จากนี้ก็ต้องติดตามว่า ธนาคารไทยเครดิต ในฐานะหุ้นธนาคารแห่งที่ 12 ของตลาดหุ้นไทย จะเป็นอย่างไรต่อไป..
Reference:
-ตัวเลขอัตราส่วนทางการเงินในบทความ อ้างอิงจากงวด 9 เดือน สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2566
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.