JW PEI แบรนด์ที่เปลี่ยน พืชและขยะพลาสติก มาเป็นกระเป๋ายอดฮิต ในหมู่เซเลบริตี
Business

JW PEI แบรนด์ที่เปลี่ยน พืชและขยะพลาสติก มาเป็นกระเป๋ายอดฮิต ในหมู่เซเลบริตี

5 ก.ค. 2022
JW PEI แบรนด์ที่เปลี่ยน พืชและขยะพลาสติก มาเป็นกระเป๋ายอดฮิต ในหมู่เซเลบริตี /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ว่า SHEIN ที่ดูเหมือนเป็นบริษัทจากสหรัฐฯ กลับเป็นบริษัทจากประเทศจีน
ในขณะที่กระเป๋าของ JW PEI ที่บางคนคิดว่าเป็นแบรนด์จากจีน กลับมีที่มาจากสหรัฐฯ
ซึ่งถ้าใครเคยได้เห็นโฆษณาของ JW PEI ก็คงไม่แปลกใจ เพราะสินค้าของแบรนด์นี้ มีดีไซน์ที่ดูสวยงาม แต่พอกดดูราคาสินค้า กลับเข้าถึงง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้หลายคนเข้าใจผิด
วันนี้ลงทุนเกิร์ลจึงอยากจะพาทุกคน มารู้จักกับแบรนด์ JW PEI กัน
JW PEI เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 จากฝีมือของคุณ Stephanie Li และสามี
โดยความพิเศษของแบรนด์ JW PEI ก็คือ การใช้วัสดุที่ทำมาจาก
-หนังมังสวิรัติ หรือก็คือหนังที่ทำมาจากพืช เช่น สับปะรด, กระบองเพชร, มะม่วง, ผิวแอปเปิล และเห็ด
-หนัง PU ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล
ซึ่งวัสดุเหล่านี้มีประโยชน์ในแง่ของ การช่วยลดขยะ ไม่ทำร้ายสัตว์ และเป็นมิตรต่อโลกมากกว่าหนังเทียมแบบเดิม ๆ แต่ก็ยังมีคุณสมบัติคล้ายกับหนังสัตว์ ทั้งสัมผัสที่นุ่มเหมือนหนังสัตว์ แถมยังมีความเหนียวทนทาน
นอกจากเรื่องวัสดุแล้ว เรื่อง “ราคาสินค้า” ของ JW PEI ก็ถือเป็นอีกจุดเด่นที่น่าสนใจ
เพราะหนึ่งในปัญหาหนักใจของผู้บริโภค ก็คือ แม้ว่าจะอยากใช้สินค้ารักษ์โลก แต่สินค้าเหล่านี้ ปกติก็มักจะถูกตั้งราคาแบบไม่รักเงินในกระเป๋าเราเท่าไร
ดังนั้น สองผู้ก่อตั้ง จึงตั้งใจกำหนดราคาสินค้าให้เข้าถึงง่าย
โดยสินค้าของ JW PEI จะมีราคาตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงหลักพันบาท
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ แม้ว่า JW PEI จะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2016 แต่เพิ่งจะมาโด่งดังจริง ๆ เมื่อปี 2020 จากการออกคอลเลกชันกระเป๋า รุ่น Gabbi ที่ฮิตในหมู่เซเลบริตี ไม่ว่าจะเป็นคุณ Gigi Hadid, คุณ Hailey Bieber, คุณ Megan Fox และคุณ Emily Ratajkowski
ซึ่งไม่เพียงแค่ กระเป๋า Gabbi จะฮิตถล่มทลายแล้ว แต่สินค้าอื่น ๆ ของ JW PEI ก็ถูกพูดถึงมากขึ้นอีกด้วย
ที่สำคัญคือ แม้ว่าในช่วงปี 2020 แบรนด์จะเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาด
แต่รายได้กลับเติบโตขึ้นถึง 10 เท่า ภายในปีเดียว
แล้วอะไรที่ทำให้แบรนด์กระเป๋าน้องใหม่อย่าง JW PEI ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ?
1.ราคาที่เข้าถึงง่าย แต่คุณภาพดี
ด้วยราคาสินค้าที่ไม่สูงมาก ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
และยังช่วยกระตุ้นให้คนเปิดใจลองซื้อสินค้ากับแบรนด์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยได้อีกด้วย เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องคิดหนักตอนจ่ายเงิน
อีกทั้ง กลุ่มลูกค้าหลักของ JW PEI ยังเป็นคนกลุ่ม Gen Z และมิลเลนเนียลส์ หรือก็คือคนที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 13-41 ปี
เนื่องจากคนกลุ่มนี้ มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้า โดยคำนึงถึงเรื่องความยั่งยืนมากกว่าเจเนอเรชันอื่น ๆ
แต่ด้วยความที่คนรุ่นนี้ ยังอายุน้อย หรือบางคนก็อยู่ในช่วงสร้างตัว ทำให้บางคนอาจมีกำลังในการซื้อไม่สูงมากนัก หรือบางคนก็ไม่อยากสิ้นเปลืองไปกับสินค้าฟุ่มเฟือย
ดังนั้นแม้ว่าจะมีสินค้าที่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ แต่ราคา ก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน
2.ดีไซน์กระเป๋า
กระเป๋าของ JW PEI จะมีตั้งแต่ดีไซน์เรียบ ๆ ไปจนถึงดีไซน์แบบสดใส ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม
รวมถึงแบรนด์ยังต่อยอดความสำเร็จจากรุ่น Gabbi ด้วยการออกสินค้า ที่ดึงเอาจุดเด่นของกระเป๋ารุ่นนี้ อย่าง สายถือกระเป๋าที่ดูยับ ๆ ย่น ๆ มาพัฒนาเป็นสินค้าประเภทใหม่ เช่น รองเท้าที่มีสายคาดย่น ๆ, กระเป๋าสะพายข้าง Gabbi ขนาดจิ๋ว ไปจนถึง การวางขายแค่เฉพาะสายคล้องกระเป๋า
3.การโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดีย เป็นหนึ่งในช่องทางสำคัญที่ช่วยให้ JW PEI เติบโตอย่างรวดเร็ว และการใช้คนดังมาโปรโมต ก็เป็นกระบอกเสียงชั้นดีสำหรับการสร้างการรับรู้
โดยแบรนด์ใช้วิธีการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียทั้ง Facebook และ Instagram รวมถึงใช้คนดังจำนวนมากในการช่วยโปรโมตสินค้าในโลกออนไลน์
ซึ่งทางแบรนด์เองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด มาจากการที่กระเป๋า JW PEI ไปอยู่บนไหล่ ของพวกเซเลบริตีและคนดัง
เรื่องราวของแบรนด์ JW PEI ถือเป็นอีกหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
แม้ว่าแบรนด์จะใช้กลยุทธ์ง่าย ๆ อย่างการตั้งราคา และการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย
รวมถึง วัสดุอย่างหนังมังสวิรัติ ที่เป็นหนึ่งในจุดขายของแบรนด์
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ทั้งหมดนี้ ก็มีอีกหลายแบรนด์ ที่ทำคล้าย ๆ กัน
ดังนั้น บางครั้งสิ่งสำคัญ มันอาจไม่ได้อยู่ที่การคิดสิ่งใหม่
แต่คือการหาให้เจอว่า คนต้องการอะไรมากกว่า..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.