
Economy
เทรนด์พฤติกรรม DINK คู่รักที่ตั้งใจไม่มีลูก ทำให้รวยมาก
1 ก.ค. 2022
เทรนด์พฤติกรรม DINK คู่รักที่ตั้งใจไม่มีลูก ทำให้รวยมาก /โดย ลงทุนเกิร์ล
กว่าจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโต ต้องใช้เงินเท่าไร ?
ถึงแม้คำถามนี้ จะไม่ได้มีคำตอบที่แน่ชัด
แต่เชื่อว่าผู้ปกครองหลาย ๆ คน ก็คงต้องการให้ลูกเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด
ถึงแม้คำถามนี้ จะไม่ได้มีคำตอบที่แน่ชัด
แต่เชื่อว่าผู้ปกครองหลาย ๆ คน ก็คงต้องการให้ลูกเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด
ดังนั้น การจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องใช้เงินและเวลามหาศาล
ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายเรื่องเสื้อผ้า อาหารการกินในชีวิตประจำวัน ค่าเล่าเรียน ไปจนถึงค่าบ้านที่ต้องมีบริเวณและสภาพแวดล้อมที่ดี
ด้วยความที่ต้นทุนของการมีลูก ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
เรื่องนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในเหตุผล ที่อัตราการเกิดในหลาย ๆ ประเทศ เริ่มลดลง
เรื่องนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในเหตุผล ที่อัตราการเกิดในหลาย ๆ ประเทศ เริ่มลดลง
และประเทศไทยเอง ก็เป็นหนึ่งในนั้น
โดยในปี 2564 อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน จะอยู่ที่ 9.9 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 1.8%
โดยในปี 2564 อัตราการเกิดต่อประชากร 1,000 คน จะอยู่ที่ 9.9 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 1.8%
ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2534 ที่อัตราเดียวกัน จะเท่ากับ 19.1 คน
แปลว่า ผ่านไป 30 ปี อัตราการเกิดของประเทศไทย หายไปเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
แปลว่า ผ่านไป 30 ปี อัตราการเกิดของประเทศไทย หายไปเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ที่สำคัญคือ ในปี 2564 ยังมีเด็กเกิดใหม่ คิดเป็นจำนวนเพียง 5.4 แสนคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลมา
แม้เรื่องนี้จะประกอบขึ้นจากหลาย ๆ ปัจจัย แต่หนึ่งในพฤติกรรมการเงินที่น่าสนใจ และอาจเป็นเทรนด์ที่ส่งผลกระทบให้เกิดสถานการณ์นี้ ก็คือ “DINK”
แล้ว DINK คืออะไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
DINK เป็นคำสแลง ที่ย่อมาจาก
“Dual Income, No Kids”
หมายถึง คู่รักที่ทำงานทั้งคู่ โดยที่ไม่มีลูก
“Dual Income, No Kids”
หมายถึง คู่รักที่ทำงานทั้งคู่ โดยที่ไม่มีลูก
ซึ่งคู่รักที่ดำเนินรอยตามพฤติกรรม DINK นี้ ก็มีแนวโน้มที่จะมีเงินเก็บมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ
เนื่องจากทั้งคู่ยังคงทำงาน ทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างน้อยสองทาง ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่าง ๆ จะถูกหารสองไม่ว่าจะเป็นค่ากินหรือค่าอยู่
ที่สำคัญ ยังไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเรื่องลูก เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
แถมไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่ ๆ เพื่อรองรับสมาชิกคนที่ 3
แถมไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่ ๆ เพื่อรองรับสมาชิกคนที่ 3
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็น DINK แล้วจะ “รวย” โดยอัตโนมัติ
โดยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการหาเงิน และการใช้เงินของคนเหล่านั้นด้วย
โดยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการหาเงิน และการใช้เงินของคนเหล่านั้นด้วย
และถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่า หากไม่มีลูก ตอนแก่ที่ไม่สามารถทำงานได้แล้วใครจะเลี้ยงดู
สำหรับเรื่องนี้ เราก็มีเทคนิคการเป็น DINK ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินมาแนะนำ
1.การตกลงกับคู่ของเรา ว่าเป้าหมายอะไรในฐานะคู่รัก ที่เราจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
แน่นอนว่าก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ระหว่างคู่รักจะต้องมีแผนการเงินพื้นฐานที่ดีเสียก่อน เพื่อครอบคลุมการใช้จ่าย และการใช้ชีวิตคู่ทุกอย่าง
ทั้งเรื่องเงินฉุกเฉินสำหรับสองคน
เงินออมสำหรับชีวิตเกษียณ
รวมถึงการชำระหนี้สิน
เงินออมสำหรับชีวิตเกษียณ
รวมถึงการชำระหนี้สิน
ซึ่งหลังจากที่เรามีสิ่งจำเป็นเหล่านี้ครบแล้ว ลำดับถัดไป ก็ถึงการที่ต้องเริ่มคุยว่า “เป้าหมายทางการเงินสูงสุด” ของเราคืออะไร
เช่น ถ้าเป็นการเกษียณก่อนกำหนด เราก็จะได้เน้นเก็บเงินมากเป็นพิเศษ แต่สำหรับบางคู่ อาจจะเป็นการมีบ้าน แปลว่าสิ่งที่จะโฟกัสย่อมต่างจากกรณีแรก ซึ่งอาจจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการผ่อนชำระค่าบ้านแทน
อย่างไรก็ตาม การมีแผนที่ชัดเจน จะช่วยไม่ให้เราหลงทาง หรือเผลอไปใช้เงินเก็บสำหรับยามเกษียณโดยที่ไม่รู้ตัว
แต่เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว การพูดคุยตกลงกัน จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
ที่สำคัญ การที่เราเข้าใจและมีเป้าหมายร่วมกันแล้ว
สองแรง ย่อมทำให้การเดินไปถึงจุดหมายนั้น ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สองแรง ย่อมทำให้การเดินไปถึงจุดหมายนั้น ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
2.ช่วยกันเก็บเงิน
เก็บเงินให้ได้มากที่สุด และยิ่งเร็วยิ่งดี
ซึ่งการมีเงินเก็บที่มากพอ จะช่วยให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น
เวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับรายจ่ายในอนาคต
ซึ่งการมีเงินเก็บที่มากพอ จะช่วยให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น
เวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับรายจ่ายในอนาคต
สำหรับเรื่องนี้ เทคนิคง่าย ๆ ก็คือ เมื่อได้รายรับมา จะต้องแบ่งไปเก็บเป็นอันดับแรก ยิ่งโอนไปเก็บโดยอัตโนมัติได้ทันที ก็จะยิ่งดี ไม่ใช่รอใช้จ่ายก่อน แล้วเหลือเท่าไรค่อยเก็บ
3.หารายได้สองทาง และลงทุนทั้งสองทาง
กรณีนี้จะคล้าย ๆ กับเรื่องเงินเก็บ คือ ควรกันเงินส่วนนี้ออกมาตั้งแต่แรก เพราะการลงทุนจะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับเรา และอาจจะเป็นรายได้ที่หล่อเลี้ยงเราในยามเกษียณ
ซึ่งยิ่งเราเริ่มลงทุนเร็วเท่าไร เราก็จะได้ประโยชน์จากเรื่อง “ดอกเบี้ยทบต้น” มากเท่านั้น
หรือก็คือ การที่เราเอาดอกเบี้ยหรือกำไรที่เราได้รับจากการลงทุน ไปลงทุนต่อ ทำให้เงินลงทุนของเรายิ่งเพิ่มสูงขึ้น และการที่เงินลงทุนยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ก็ยิ่งทำให้เราได้รับดอกเบี้ยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
จนมีคำเล่าลือว่าอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยพูดถึงดอกเบี้ยทบต้นว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลก” เลยทีเดียว
แล้วสำหรับในแง่มุมของธุรกิจ กลุ่ม DINK น่าสนใจอย่างไร ?
ด้วยความที่ DINK ถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่มองหาการสร้างฐานะ เพื่อความมั่นคงในอนาคต ที่ตัวเองอาจจะไม่มีลูกมาคอยดูแล แต่ก็แลกมากับการไม่ต้องมีภาระเรื่องลูกเช่นกัน
ดังนั้น DINK จึงกลายเป็นเป้าหมายทางการตลาดของสินค้าจำพวกผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุน ไปจนถึงสินค้าหรู เช่น มื้ออาหารดี ๆ, รถยนต์ราคาแพง หรือแพ็กเกจท่องเที่ยวสุดพิเศษ
และอีกมุมหนึ่งคือ DINK ยังถูกมองว่าเป็นเป้าหมายของการจ้างงาน เนื่องจากทางฝั่งนายจ้าง ก็มองว่าคนกลุ่มนี้ จะมีเวลาทุ่มเทให้กับบริษัทอย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องแบ่งเวลาให้กับลูกนั่นเอง
เรียกได้ว่า สำหรับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในยุคนี้
การเป็น DINK ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย
การเป็น DINK ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย
แถมยังมีโอกาสจับมือกัน เพื่อไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นอีกด้วย..
Sponsored by JCB
JCB แฮปปี้ทุกไลฟ์สไตล์ มากกว่าส่วนลดและสิทธิประโยชน์แต่เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ในการใช้บัตรเครดิต JCB อย่างคุ้มค่าตลอดทั้งปี รวบรวมทั้งร้านอาหารชั้นนำ ปั๊มน้ำมัน ซูเปอร์มาเก็ต แพลตฟอร์มการสั่งอาหาร ส่วนลดการจองที่พัก ร้านค้าชั้นนำอีกมากมายทั้งหน้าร้านและแพลตฟอร์มออนไลน์อีกกว่า 100 ร้านค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ติดตามได้ที่ www.facebook.com/JCBCardThailandTH และ LINE Official Account : @JCBThailand (https://bit.ly/JCBTHLine)
#JCBใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา #JCBThailand #JCBOwnHappinessOwnStory