FoodUncategorized
Hawell’s ตำนานไอศกรีมของคนไทย ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
27 มี.ค. 2021
Hawell’s ตำนานไอศกรีมของคนไทย ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา /โดย ลงทุนเกิร์ล
Hawell’s หรือ ฮาเวลส์ คือแบรนด์ไอศกรีม ที่ดูภายนอกเหมือนแบรนด์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว คือแบรนด์สัญชาติไทย ที่เป็นชื่นชอบของคนเดินห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้าเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
ด้วยรสชาติไอศกรีมที่อร่อยและเข้มข้น ทำให้ถูกใจสาวกไอศกรีมจำนวนมาก
จนภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ฮาเวลส์ก็สามารถขยายได้มากถึง 22 สาขาเลยทีเดียว
จนภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ฮาเวลส์ก็สามารถขยายได้มากถึง 22 สาขาเลยทีเดียว
ในขณะที่ธุรกิจกำลังจะไปได้ดี กลับต้องปิดตัวลงเพราะเจออุปสรรคบางอย่าง
แต่อุปสรรคในครั้งนั้น ก็ไม่สามารถเอาชนะความตั้งใจและแพชชันอันแรงกล้า
ของคุณษิริพงศ์ อัครศรียุกต์ ผู้รักในการทำไอศกรีมได้
แต่อุปสรรคในครั้งนั้น ก็ไม่สามารถเอาชนะความตั้งใจและแพชชันอันแรงกล้า
ของคุณษิริพงศ์ อัครศรียุกต์ ผู้รักในการทำไอศกรีมได้
ซึ่งล่าสุดแบรนด์ฮาเวลส์ได้มีการอัปเดตบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ ว่าจะกลับมาเปิดตัวอย่างแน่นอน ภายในปี 2564 นี้
เรื่องราวตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงจุดวิกฤติและการกลับมาของไอศกรีมในตำนาน จะน่าสนใจแค่ไหน ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟังค่ะ
จุดเริ่มต้นของ ฮาเวลส์ เกิดจากคุณษิริพงศ์ อัครศรียุกต์ ผู้ชื่นชอบการทานไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจ ตั้งแต่อายุได้เพียง 1 ขวบ โดยที่ไม่สามารถขาดไอศกรีมได้แม้แต่วันเดียว
ด้วยความชอบที่ยังคงติดตัวมาเรื่อย ๆ พออายุได้ 10 ขวบ คุณษิริพงศ์ก็ได้แอบคุณพ่อคุณแม่ ไปขายไอศกรีม โดยสะพายกระติกและเขย่ากระดิ่งเดินขายด้วยตัวเอง ซึ่งจะแอบพ่อแม่ไปขายอย่างนี้ทุกครั้งในวันเสาร์อาทิตย์
แม้ว่าเหตุผลที่ต้องแอบมาขายไอศกรีม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอยากได้เงิน
แต่การได้เห็นเด็ก ๆ คนอื่น วิ่งออกมาซื้อไอศกรีมอย่างมีความสุข ได้กลับกลายเป็นความสุขที่แท้จริงของ คุณษิริพงศ์
แต่การได้เห็นเด็ก ๆ คนอื่น วิ่งออกมาซื้อไอศกรีมอย่างมีความสุข ได้กลับกลายเป็นความสุขที่แท้จริงของ คุณษิริพงศ์
ซึ่งพออ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดว่า แพชชันที่เราค้นพบในวัยเด็ก สุดท้ายพอโตขึ้นมันก็อาจเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ไม่ใช่กับคุณษิริพงศ์
เพราะหลังจากที่เรียนจบมัธยม คุณษิริพงศ์ได้มีโอกาสไปทำงานที่พิซซ่าฮัท
โดยในช่วงที่ทำงานอยู่ที่นั่น ก็ได้รู้ข่าวว่าผู้บริหารได้นำไอศกรีมสเวนเซ่นส์ เข้ามาขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
โดยในช่วงที่ทำงานอยู่ที่นั่น ก็ได้รู้ข่าวว่าผู้บริหารได้นำไอศกรีมสเวนเซ่นส์ เข้ามาขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
พอรู้เช่นนั้น เขาจึงรีบทำเรื่องขอย้ายไปอยู่ที่โรงงานผลิตไอศกรีมทันที และได้รับหน้าที่เป็นผู้ผลิตและชิมไอศกรีมทุกถังก่อนจะส่งไปจำหน่าย
แม้ว่าอาชีพการชิมไอศกรีม ดูผิวเผินอาจเป็นอาชีพที่สบาย และน่าจะสนุกในการทำ แต่พนักงานส่วนใหญ่กลับรู้สึกท้อกับการชิมไอศกรีม และไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิดไว้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ชอบไอศกรีมอย่าง คุณษิริพงศ์ แล้ว
เขากลับไม่ได้รู้สึกย่อท้อหรือเหนื่อยแต่อย่างใด
เพราะเขาได้ชิมไอศกรีมทุกวัน วันละ 1-3 ควอตอย่างมีความสุข
นอกจากนั้นเขายังมีโอกาสได้ร่วมกับทีมงาน คิดค้นรสชาติไอศกรีมใหม่ ๆ เช่น รสมะม่วง อีกด้วย
เขากลับไม่ได้รู้สึกย่อท้อหรือเหนื่อยแต่อย่างใด
เพราะเขาได้ชิมไอศกรีมทุกวัน วันละ 1-3 ควอตอย่างมีความสุข
นอกจากนั้นเขายังมีโอกาสได้ร่วมกับทีมงาน คิดค้นรสชาติไอศกรีมใหม่ ๆ เช่น รสมะม่วง อีกด้วย
จากความโชคดีที่ได้ทำในสายอาชีพที่ตัวเองรัก ทำให้ต่อมา คุณษิริพงศ์ได้ขึ้นเป็นตำแหน่งผู้บริหาร
และร่วมก่อตั้งไอศกรีมแบรนด์อังเคิลเรย์ โดยได้คิดค้นรสชาติไอศกรีมมากถึง 60 รสชาติ
และร่วมก่อตั้งไอศกรีมแบรนด์อังเคิลเรย์ โดยได้คิดค้นรสชาติไอศกรีมมากถึง 60 รสชาติ
หลังจากนั้นก็ได้มาเป็นผู้บริหารให้กับร้านแดรี่ควีน และเลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ
จนกระทั่งเขาอายุได้ 24 ปี ทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงัก
หลังจากที่เขาจับได้ใบแดง จึงต้องไปเกณฑ์ทหาร
หลังจากที่เขาจับได้ใบแดง จึงต้องไปเกณฑ์ทหาร
แต่หลังจากเกณฑ์ทหารจบ คุณษิริพงศ์ก็ได้ตัดสินใจสานฝันของตัวเองต่อ ด้วยการทำแบรนด์ไอศกรีมที่ตั้งชื่อแบรนด์ว่า “Is it Ice Cream”
ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Donald Rabbit”
ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Donald Rabbit”
จุดเด่นของแบรนด์คือการเน้นขายไอศกรีมเค้กแบบดิลิเวอรี จัดส่งทั่วกรุงเทพฯ
เขาทำอยู่หลายปี พอมาถึงปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยก็เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง
หลายบริษัทปิดตัว ทำให้คนตกงานและไม่มีกำลังซื้อ
จึงเป็นเหตุให้ Donald Rabbit ต้องปิดกิจการตามไป
หลายบริษัทปิดตัว ทำให้คนตกงานและไม่มีกำลังซื้อ
จึงเป็นเหตุให้ Donald Rabbit ต้องปิดกิจการตามไป
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณษิริพงศ์ได้คิดและทบทวนว่า จะทำอย่างไรกับธุรกิจต่อดี
ซึ่งในที่สุดเขาก็ค้นพบทางออกว่า เมื่อคนมีรายได้น้อยลง
เราก็ควรขายของราคาถูก แต่ยังคงอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ
เราก็ควรขายของราคาถูก แต่ยังคงอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2542 คุณษิริพงศ์จึงได้กลับมาเปิดร้านไอศกรีมอีกครั้ง
ภายใต้แบรนด์ “Hawell’s” โดยมีสาขาแรกอยู่ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และตั้งใจที่จะคิดค้นไอศกรีมเกรดพรีเมียม ที่ราคาไม่แพงและทุกคนเข้าถึงได้
ภายใต้แบรนด์ “Hawell’s” โดยมีสาขาแรกอยู่ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และตั้งใจที่จะคิดค้นไอศกรีมเกรดพรีเมียม ที่ราคาไม่แพงและทุกคนเข้าถึงได้
ที่สำคัญคือรสชาติจะต้องอร่อยถูกปาก แตกต่างจากแบรนด์อื่น
และเป็นตัวจุดประกายความสุข ในเวลาที่กำลังทุกข์ใจ
และเป็นตัวจุดประกายความสุข ในเวลาที่กำลังทุกข์ใจ
ซึ่งหากใครได้เคยทานไอศกรีมนมเย็น ๆ รสชาติเข้มข้นของฮาเวลส์
รับรองว่าจะต้องลืมความทุกข์ไปได้ ในช่วงเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน
รับรองว่าจะต้องลืมความทุกข์ไปได้ ในช่วงเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน
ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจเหล่านี้ ผลตอบรับที่ได้จึงเกินความคาดหมาย ทำให้หลังจากเปิดร้านไม่นานคนก็เข้าแถวต่อคิว และบอกต่อถึงความอร่อยไปในวงกว้าง
ภายใน 3 ปี ฮาเวลส์ ก็สามารถขยายทั้งหมด 22 สาขา ในห้างสรรพสินค้าทั่วกรุงเทพฯ
แต่ในขณะที่ธุรกิจกำลังเป็นดาวรุ่ง กลับมีอุปสรรคครั้งใหญ่เกิดขึ้น เนื่องจากโดนกีดกันพื้นที่ขายในห้างจากแบรนด์ใหญ่ ไม่ให้ฮาเวลส์ต่อสัญญา จนในที่สุดฮาเวลส์ก็ต้องทยอยปิดสาขาลง
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ ตำนานของแบรนด์ไอศกรีมที่ดูเหมือนจะจบลงไปแล้ว
ก็กลับมามีลมหายใจเกิดขึ้นอีกครั้ง
ก็กลับมามีลมหายใจเกิดขึ้นอีกครั้ง
เพราะมีสัญญาณจากทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก Hawell’s แล้วว่า แบรนด์จะกลับมาเปิดอีกครั้งอย่างแน่นอน แบบสแตนด์อโลนที่ไม่ต้องพึ่งพาห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป
ซึ่งเรื่องนี้ก็เรียกเสียงฮือฮา ทั้งยอดไลก์และยอดแชร์ จากผู้บริโภคที่ตั้งตารอได้เป็นจำนวนมาก
และการกลับมาในครั้งนี้ แบรนด์ได้ใช้ช่องทางหลักของเพจในการสื่อสาร
ทั้งเรื่องราวความเป็นมา การเปิดให้สั่งไอศกรีมแบบดิลิเวอรี การอัปเดตข่าวสารต่าง ๆ การแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
ทั้งเรื่องราวความเป็นมา การเปิดให้สั่งไอศกรีมแบบดิลิเวอรี การอัปเดตข่าวสารต่าง ๆ การแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
ทั้งหมดจึงเป็นตัวอย่างของการทำธุรกิจและการสร้างแบรนด์ที่ดีว่า
ถ้าเราทำอะไรที่เกิดจากแพชชันของตัวเองแล้ว เราก็จะทำมันออกมาได้ดี
ถ้าเราทำอะไรที่เกิดจากแพชชันของตัวเองแล้ว เราก็จะทำมันออกมาได้ดี
และแม้ว่าจะต้องล้มอีกสักกี่ครั้ง แต่สุดท้ายเราก็จะสามารถลุกขึ้นมายืนใหม่ได้
เพราะการได้ทำงานที่เรารัก ทำให้เรามีความสุขกับมันในทุก ๆ ช่วงเวลานั่นเอง..
เพราะการได้ทำงานที่เรารัก ทำให้เรามีความสุขกับมันในทุก ๆ ช่วงเวลานั่นเอง..