Health & Beauty
งานผิว สายฝอ VS สายเกา ลงทุนแบบไหนดี
13 ก.ค. 2020
ถ้าพูดถึงเรื่องแต่งหน้า บางคนอาจเคยได้ยินว่า แต่งแบบสายฝอ หรือ สายเกา
สำหรับคนที่กำลังมึนว่า คำเหล่านี้แปลว่าอะไร
“สายฝอ” และ “สายเกา” เป็นคำย่อที่เรียกประเภทของสไตล์
โดย สายฝอ หมายถึงแนวที่ได้รับอิทธิพลจาก “ฝรั่ง” หรือก็คือ คนจากแถบประเทศสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป
ส่วน สายเกา ย่อมาจากคำว่าเกาหลี ซึ่งก็หมายถึงแนวที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งเกาหลีใต้นั่นเอง
สำหรับคนที่กำลังมึนว่า คำเหล่านี้แปลว่าอะไร
“สายฝอ” และ “สายเกา” เป็นคำย่อที่เรียกประเภทของสไตล์
โดย สายฝอ หมายถึงแนวที่ได้รับอิทธิพลจาก “ฝรั่ง” หรือก็คือ คนจากแถบประเทศสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป
ส่วน สายเกา ย่อมาจากคำว่าเกาหลี ซึ่งก็หมายถึงแนวที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งเกาหลีใต้นั่นเอง
แล้วการแต่งหน้าสองแนวนี้แตกต่างกันอย่างไร?
เริ่มจาก “สายฝอ” ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะเป็นแนวการแต่งหน้าที่สาวๆ คุ้นเคยกันดี
เพราะบ้านเราได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมจากตะวันตกมานานมากแล้ว
เพราะบ้านเราได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมจากตะวันตกมานานมากแล้ว
จุดเด่นของการแต่งหน้าสไตล์นี้ คือ เน้นการปกปิดจุดบกพร่อง
รวมถึงการแต่งหน้าที่ค่อนข้างแน่น เช่น แต่งตาเข้มๆ หรือสีปากจัดๆ
รวมถึงการแต่งหน้าที่ค่อนข้างแน่น เช่น แต่งตาเข้มๆ หรือสีปากจัดๆ
เพิ่มแสงและเงาเพื่อให้เกิดมิติ เพื่อเสริมให้โครงหน้าของฝรั่งที่คมอยู่แล้ว ดูคมชัดและเนี้ยบมากขึ้น
และถ้าพูดถึงเมคอัพอาร์ติสที่มีชื่อเสียงในสายนี้
หนึ่งในนั้นก็น่าจะเป็น Bobbi Brown ซึ่งนอกจากการเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ
เธอยังนำสไตล์การแต่งหน้าของตัวเอง มาใส่ลงในผลิตภัณฑ์ความงาม
จนสามารถสร้างแบรนด์เครื่องสำอางภายใต้ชื่อ Bobbi Brown ขึ้นมาในปี 1991
หนึ่งในนั้นก็น่าจะเป็น Bobbi Brown ซึ่งนอกจากการเป็นช่างแต่งหน้ามืออาชีพ
เธอยังนำสไตล์การแต่งหน้าของตัวเอง มาใส่ลงในผลิตภัณฑ์ความงาม
จนสามารถสร้างแบรนด์เครื่องสำอางภายใต้ชื่อ Bobbi Brown ขึ้นมาในปี 1991
และแม้ว่าตอนนี้คุณ Bobbi Brown จะไม่ได้บริหารแบรนด์เครื่องสำอางด้วยตัวเองแล้ว
แต่แบรนด์ Bobbi Brown ก็ยังสามารถครองใจสาวๆ สายฝอ ได้อยู่
โดยปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารของเครือธุรกิจความงามขนาดใหญ่ Estée Lauder
แต่แบรนด์ Bobbi Brown ก็ยังสามารถครองใจสาวๆ สายฝอ ได้อยู่
โดยปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารของเครือธุรกิจความงามขนาดใหญ่ Estée Lauder
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งสไตล์การแต่งหน้าที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ก็คือ “สายเกา”
เพราะแม้ว่าการแต่งหน้าแบบสายฝอนั้น จะให้ลุคที่สวยคม ดูมั่นใจ
ซึ่งถ้าเป็นการไปออกงานกลางคืน หรือพรีเซนต์งานสำคัญ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ซึ่งถ้าเป็นการไปออกงานกลางคืน หรือพรีเซนต์งานสำคัญ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าต้องแต่งหน้าแน่นๆ แบบจัดเต็มทุกวัน
สำหรับสาวๆ บางคนอาจมองเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานไปไม่น้อย
สำหรับสาวๆ บางคนอาจมองเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานไปไม่น้อย
ที่สำคัญคือ โครงหน้าและสภาพผิวของคนเอเชีย มีความต่างจากคนทางฝั่งตะวันตก
และเมื่อประกอบกับภาพเซเลบริตีจากเกาหลี ที่มาพร้อมกับซีรีส์และวงการไอดอล
และเมื่อประกอบกับภาพเซเลบริตีจากเกาหลี ที่มาพร้อมกับซีรีส์และวงการไอดอล
จึงทำให้การแต่งหน้าแบบ “สายเกา” เริ่มได้รับความนิยม ไม่แพ้สายฝอเลยทีเดียว
แล้วการแต่งหน้าแบบ “สายเกา” เป็นอย่างไร?
ถ้าพูดให้เห็นภาพ อาจจะต้องจินตนาการถึงหน้านางเอกซีรีส์เกาหลี
ที่ดูสวยแบบเป็นธรรมชาติ และแทบจะเหมือนไม่ได้แต่งอะไรเพิ่มเยอะเลย
ที่ดูสวยแบบเป็นธรรมชาติ และแทบจะเหมือนไม่ได้แต่งอะไรเพิ่มเยอะเลย
ซึ่งจริงๆ แล้วเคล็ดลับของเรื่องนี้อยู่ที่ “งานผิว”
โดยการแต่งหน้าลุคเกาหลี จะเน้นการแต่ให้ผิวดูสุขภาพดี
มีความฉ่ำวาว บางเบา แบบธรรมชาติ
โดยการแต่งหน้าลุคเกาหลี จะเน้นการแต่ให้ผิวดูสุขภาพดี
มีความฉ่ำวาว บางเบา แบบธรรมชาติ
และถ้าพูดถึงเมคอัพอาร์ติสในสายนี้
หนึ่งคนที่กำลังมาแรงเลยก็คือ คุณ Jung Saem Mool
หนึ่งคนที่กำลังมาแรงเลยก็คือ คุณ Jung Saem Mool
คุณ Jung Saem Mool เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการความงามเลยก็ว่าได้
เธอเรียนจบจากสายนี้โดยตรง และมีประสบการณ์ด้านเมคอัพอาร์ทิสมากกว่า 30 ปี
เธอเรียนจบจากสายนี้โดยตรง และมีประสบการณ์ด้านเมคอัพอาร์ทิสมากกว่า 30 ปี
นอกจากนั้นคุณ Jung Saem Mool ยังได้มีโอกาสร่วมงานกับซูเปอร์สตาร์ชื่อดังหลายคน เช่น
นางเอกเบอร์ต้นๆ อย่างคิมแตฮี, นักร้องชื่อดัง โบอา,
รวมถึงไอดอล K-pop เจสสิก้า อดีตสมาชิกวง Girl’s Generation
นางเอกเบอร์ต้นๆ อย่างคิมแตฮี, นักร้องชื่อดัง โบอา,
รวมถึงไอดอล K-pop เจสสิก้า อดีตสมาชิกวง Girl’s Generation
เอกลักษณ์การแต่งหน้าของคุณ Jung Saem Mool อยู่ที่
การให้ความสำคัญกับผิวที่ดูสุขภาพดี และดึงจุดเด่นของมาผสมผสานกับเทรนด์แฟชั่น
การให้ความสำคัญกับผิวที่ดูสุขภาพดี และดึงจุดเด่นของมาผสมผสานกับเทรนด์แฟชั่น
อย่างการเลือกเฉดสีการแต่งหน้า ที่แมตช์กับบุคคลิกของแต่ละคน
โดยใช้หลักการ Personal color หรือการจับคู่สีเครื่องสำอาง ให้เข้ากับสีนัยน์ตา สีผม และสีผิว
จนกลายเป็นลุคเฉพาะตัว ที่เหมาะกับแต่ละคนจริงๆ
ซึ่งถือเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้สร้างอิมเมจ ให้กับดาราเกาหลีด้วย
โดยใช้หลักการ Personal color หรือการจับคู่สีเครื่องสำอาง ให้เข้ากับสีนัยน์ตา สีผม และสีผิว
จนกลายเป็นลุคเฉพาะตัว ที่เหมาะกับแต่ละคนจริงๆ
ซึ่งถือเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้สร้างอิมเมจ ให้กับดาราเกาหลีด้วย
ด้วยประสบการณ์และเอกลักษณ์ทั้งหมดนี้ จึงทำให้คุณ Jung Saem Mool
ตัดสินใจสร้างแบรนด์ความงามของตัวเองขึ้นในปี 2015
ตัดสินใจสร้างแบรนด์ความงามของตัวเองขึ้นในปี 2015
โดยเน้นความงาม 3 ประการ คือ การเผยผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ สร้างลุคที่ทันสมัย และความสวยแบบมืออาชีพ
ผ่านผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สกินแคร์ เบสเมคอัพ เมคอัพคัลเลอร์ และอุปกรณ์การแต่งหน้า
ดังนั้นเครื่องสำอางของแบรนด์ Jung Saem Moo
จึงมีจุดเด่นในเรื่องการขับความงามที่เป็นธรรมชาติของผิว
ใช้แล้วให้ความฉ่ำวาวแบบ Glass Skin ที่ดูสุขภาพดี
จึงมีจุดเด่นในเรื่องการขับความงามที่เป็นธรรมชาติของผิว
ใช้แล้วให้ความฉ่ำวาวแบบ Glass Skin ที่ดูสุขภาพดี
โดยเฉพาะคุชชั่นตัวขายดี อย่าง Skin Nuder Long Wear Cushion
ที่มีเนื้อสัมผัสบางเบา ให้ความเรีบบเนียน ผิวมีความวาว แต่ไม่มัน
ที่มีเนื้อสัมผัสบางเบา ให้ความเรีบบเนียน ผิวมีความวาว แต่ไม่มัน
เพราะคุชชั่นตัวนี้มี Full Blooming Powder เป็นส่วนผสมสำคัญ
ซึ่งช่วยปรับความสมดุลของน้ำมันและความชื้น ทำให้ผิวเนียนนุ่ม
และทำหน้าที่กระจายแสงจากร่องบนผิวให้ดูกระจ่างใส
รวมถึงดูดซับความมันจากหงื่อและของเสียต่างๆ บนใบหน้าได้
ซึ่งช่วยปรับความสมดุลของน้ำมันและความชื้น ทำให้ผิวเนียนนุ่ม
และทำหน้าที่กระจายแสงจากร่องบนผิวให้ดูกระจ่างใส
รวมถึงดูดซับความมันจากหงื่อและของเสียต่างๆ บนใบหน้าได้
ทั้งหมดนี้ก็เป็นคอนเซ็ปต์คร่าวๆ ของการแต่งหน้าทั้งแบบ “สายฝอ” และ “สายเกา”
หวังว่าสาวๆ จะได้ไอเดียที่ตอบโจทย์ความงามในแบบของเรากันได้บ้างนะคะ
หวังว่าสาวๆ จะได้ไอเดียที่ตอบโจทย์ความงามในแบบของเรากันได้บ้างนะคะ
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ที่
Jung Saem Mool : https://www.facebook.com/jungsaemmoolThailand/
Bobbi Brown : https://www.facebook.com/BobbiBrownThailand/