Uncategorized
รู้จักร้าน Rapi-rabi ร้านทำผม ที่ไม่มีไว้ตัดผม
18 ก.พ. 2021
รู้จักร้าน Rapi-rabi ร้านทำผม ที่ไม่มีไว้ตัดผม /โดย ลงทุนเกิร์ล
เวลาเราจะเลือกไปทำกิจกรรมอะไร ก็มักจะเลือกผู้ให้บริการที่ “ครบวงจร”
อย่างร้านทำผมก็เช่นกัน ถ้าไปแล้วมีตั้งแต่บริการแต่งทรง ดัดผม ย้อมสี
ไปจนถึงบำรุงผมอย่างการทำสปา หรือทรีตเมนต์
ก็คงดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับสาวๆ หลายคน
อย่างร้านทำผมก็เช่นกัน ถ้าไปแล้วมีตั้งแต่บริการแต่งทรง ดัดผม ย้อมสี
ไปจนถึงบำรุงผมอย่างการทำสปา หรือทรีตเมนต์
ก็คงดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับสาวๆ หลายคน
แต่สำหรับร้าน Rapi-rabi กลับไม่ใช่แบบนั้น
เพราะร้าน Rapi-rabi เป็นร้านทำผม ที่มีเฉพาะบริการ “ทำสีผม” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ที่น่าสนใจคือ ร้านทำผมที่มีบริการเพียงแค่อย่างเดียวนี้
กลับเป็นที่นิยมมากๆ จนมีลูกค้าจองคิวแน่นอยู่ตลอด
เพราะร้าน Rapi-rabi เป็นร้านทำผม ที่มีเฉพาะบริการ “ทำสีผม” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ที่น่าสนใจคือ ร้านทำผมที่มีบริการเพียงแค่อย่างเดียวนี้
กลับเป็นที่นิยมมากๆ จนมีลูกค้าจองคิวแน่นอยู่ตลอด
ถึงแม้ร้านนี้จะเปิดมาแค่ 5 ปี แต่สามารถขยายจนมีหน้าร้านถึง 6 สาขา
และแต่ละสาขามักจะตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
เช่น สยาม อโศก อารีย์ และพร้อมพงษ์
และแต่ละสาขามักจะตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
เช่น สยาม อโศก อารีย์ และพร้อมพงษ์
แล้วร้าน Rapi-rabi แตกต่างจากร้านทำผมที่อื่นอย่างไร?
ทำไมจึงกลายเป็นร้านทำสีผมที่มีคนจองคิวแน่นอยู่ตลอด ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟังค่ะ
ทำไมจึงกลายเป็นร้านทำสีผมที่มีคนจองคิวแน่นอยู่ตลอด ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟังค่ะ
Rapi-rabi ก่อตั้ง โดยช่างทำผมชาวญี่ปุ่น ที่ชื่อว่าคุณ PON
โดยเหตุผลที่คุณ PON เลือกมาเปิดร้านทำผม ไกลถึงประเทศไทย
ประทับใจนิสัยของคนไทย ที่ยิ้มง่ายและอัธยาศัยดี จึงอยากอาศัยอยู่ที่ประเทศไทย
ประทับใจนิสัยของคนไทย ที่ยิ้มง่ายและอัธยาศัยดี จึงอยากอาศัยอยู่ที่ประเทศไทย
ซึ่งถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้าที่คุณ PON จะมาเปิดร้านทำผมที่ประเทศไทย
เขาก็มีประสบการณ์การเป็นช่างทำผมมาก่อน จากประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่อายุ 16 ปี
เขาก็มีประสบการณ์การเป็นช่างทำผมมาก่อน จากประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่อายุ 16 ปี
เขาใช้เวลากว่า 7 ปีในการศึกษาเรื่องผม
ก่อนที่จะตัดสินใจ มาเปิดร้านทำผมร้านแรกที่จังหวัดชลบุรีตอนอายุ 25 ปี
ซึ่งก็เป็นร้านทำผมปกติ ที่มีบริการทุกรูปแบบทั้งตัด ดัด ยืด ทำสี ทรีตเมนต์ รวมถึงสปาศีรษะ
ก่อนที่จะตัดสินใจ มาเปิดร้านทำผมร้านแรกที่จังหวัดชลบุรีตอนอายุ 25 ปี
ซึ่งก็เป็นร้านทำผมปกติ ที่มีบริการทุกรูปแบบทั้งตัด ดัด ยืด ทำสี ทรีตเมนต์ รวมถึงสปาศีรษะ
ร้านทำผมของคุณ PON ได้เสียงตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก
ด้วยสไตล์การทำผม ที่ได้รับการแนะนำจากช่างญี่ปุ่น ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในเวลานั้น
ทำให้คุณ PON เริ่มขยับขยายธุรกิจ และสร้างแบรนด์ร้านทำผมแบบครบวงจรเพิ่มอีก 3 แบรนด์
นั่นคือ BELL otonagami salon, YAMS hair & cafe และ Cuu's hair
ด้วยสไตล์การทำผม ที่ได้รับการแนะนำจากช่างญี่ปุ่น ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในเวลานั้น
ทำให้คุณ PON เริ่มขยับขยายธุรกิจ และสร้างแบรนด์ร้านทำผมแบบครบวงจรเพิ่มอีก 3 แบรนด์
นั่นคือ BELL otonagami salon, YAMS hair & cafe และ Cuu's hair
แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ PON เปิดร้านรับทำสีผม เพียงอย่างเดียว?
จริงๆ แล้วในประเทศญี่ปุ่น ร้านทำผมที่มีบริการแค่ทำสีอย่างเดียว เป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป
แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน การเปิดร้านทำผมที่ไม่ครบวงจรในประเทศไทย
ยังค่อนข้างแปลกใหม่ เพราะแทบจะไม่มีร้านไหนให้บริการในลักษณะนี้
รวมทั้งการทำสีผมแต่ละครั้ง ยังมีราคาที่สูงมาก
ยังค่อนข้างแปลกใหม่ เพราะแทบจะไม่มีร้านไหนให้บริการในลักษณะนี้
รวมทั้งการทำสีผมแต่ละครั้ง ยังมีราคาที่สูงมาก
คุณ PON จึงอยากเปิดบริการร้านทำสีผมโดยเฉพาะเพื่อให้คนไทยมีสีผมที่สวยงาม ในราคาที่จับต้องได้
อย่างไรก็ตาม การเปิดร้านทำสีผมอย่างเดียว ก็ถือเป็นเรื่องท้าทาย
ดังนั้นในตอนที่คุณ PON จะเริ่มทำร้าน Rapi-rabi
เขายอมรับเลยว่า เขาก็มีความไม่มั่นใจกับโมเดลธุรกิจนี้สักเท่าไร
แต่เขาก็ยึดมั่นว่า “การลงมือทำอะไรสักอย่าง ยังดีกว่าไม่ลองทำอะไรเลย”
เขายอมรับเลยว่า เขาก็มีความไม่มั่นใจกับโมเดลธุรกิจนี้สักเท่าไร
แต่เขาก็ยึดมั่นว่า “การลงมือทำอะไรสักอย่าง ยังดีกว่าไม่ลองทำอะไรเลย”
แล้วกลยุทธ์อะไรที่ทำให้ร้านทำผมของคุณ PON สำเร็จมาถึงจุดนี้ได้?
ปัจจุบันคุณ PON เมื่อรวม Rapi-rabi มีร้านทำผมถึง 4 แบรนด์ ทั้งหมด 10 สาขา
ซึ่งแม้ว่าแต่ละแบรนด์จะมีแครักเตอร์ที่แตกต่างกัน
แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ “ความเชี่ยวชาญของช่างทำผม”
ซึ่งแม้ว่าแต่ละแบรนด์จะมีแครักเตอร์ที่แตกต่างกัน
แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ “ความเชี่ยวชาญของช่างทำผม”
พนักงานทุกคนไม่ว่าจะเก่งหรือไม่เก่งมาก่อนที่จะเริ่มงานกับทางร้าน
ก็จะต้องผ่านมาตรฐานการคัดเลือก และผ่านการฝึกฝนแบบเดียวกัน
และถึงแม้ว่าจะมีความรู้พื้นฐานด้านการทำผมอยู่แล้ว ก็ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่ร้านนี้ทุกคน
ก็จะต้องผ่านมาตรฐานการคัดเลือก และผ่านการฝึกฝนแบบเดียวกัน
และถึงแม้ว่าจะมีความรู้พื้นฐานด้านการทำผมอยู่แล้ว ก็ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่ร้านนี้ทุกคน
โดยเริ่มแรก จะเข้ามาเป็น “ผู้ช่วยช่างทำผม” ก่อน ประมาณ 1-2 ปี
หลังจากนั้น พนักงานทุกคนต้องได้รับการสอบวัดมาตรฐาน
ซึ่งต้องสอบจนผ่านเท่านั้น จึงจะสามารถเลื่อนระดับเป็นช่างทำผมได้
หลังจากนั้น พนักงานทุกคนต้องได้รับการสอบวัดมาตรฐาน
ซึ่งต้องสอบจนผ่านเท่านั้น จึงจะสามารถเลื่อนระดับเป็นช่างทำผมได้
มากไปกว่านั้น พนักงานต้อง “พัฒนาทักษะ” ตัวเองอยู่เสมอ
โดยทางร้านจะคอยอัปเดตเทรนด์การทำผมใหม่ให้พนักงานอยู่เสมอ
ซึ่งก็ศึกษาเทรนด์จากหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และสหรัฐฯ
ซึ่งจะมีให้เรียนรู้ผ่านทางคอร์สเรียนออนไลน์ ในทุกๆ เดือน
ซึ่งก็ศึกษาเทรนด์จากหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และสหรัฐฯ
ซึ่งจะมีให้เรียนรู้ผ่านทางคอร์สเรียนออนไลน์ ในทุกๆ เดือน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ธุรกิจของคุณ PON เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แปลว่าจำนวนพนักงานที่ต้องดูแลก็ย่อมเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน
ทำให้การควบคุมมาตรฐาน และดูแลพนักงานทุกคนไม่ใช่เรื่องง่าย
แปลว่าจำนวนพนักงานที่ต้องดูแลก็ย่อมเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน
ทำให้การควบคุมมาตรฐาน และดูแลพนักงานทุกคนไม่ใช่เรื่องง่าย
แล้วร้าน Rapi-rabi จัดการกับปัญหานี้อย่างไร?
คุณ PON เล่าว่า เขาจะใช้ “การสื่อสาร” เป็นตัวช่วย
โดยแต่ละสาขา จะมีผู้จัดการประจำสาขา เพื่อดูแลความเรียบร้อยต่างๆ
นอกจากนั้น ผู้จัดการแต่ละสาขาต้องคุยกันทุกวัน และ “ประชุม” ทุกอาทิตย์เพื่ออัปเดตงานต่างๆ
และในทุกๆ เดือนจะมีคนจากบริษัทแม่ มาตรวจเช็กมาตรฐานในสาขานั้นๆ
นอกจากนั้น ผู้จัดการแต่ละสาขาต้องคุยกันทุกวัน และ “ประชุม” ทุกอาทิตย์เพื่ออัปเดตงานต่างๆ
และในทุกๆ เดือนจะมีคนจากบริษัทแม่ มาตรวจเช็กมาตรฐานในสาขานั้นๆ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการดูแล “ความสุข” ของพนักงาน
เพราะถ้าพนักงานรู้สึก ตื่นเต้นและสนุกกับการทำงานเสมอ
ก็จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้เอง
ก็จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้เอง
เรียกได้ว่าคุณ PON ให้ความสำคัญกับเรื่องคนมากๆ
โดยมองว่าเป็นแรงขับเคลื่อนของร้าน
และถ้าพนักงานรู้สึกไม่ดี มาตรฐานของร้านก็คงจะไม่ดีตามไปด้วย
โดยมองว่าเป็นแรงขับเคลื่อนของร้าน
และถ้าพนักงานรู้สึกไม่ดี มาตรฐานของร้านก็คงจะไม่ดีตามไปด้วย
ซึ่งด้วยมาตรฐานเหล่านี้เอง ที่มาตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้า
อย่างเช่น ที่ร้าน Rapi-rabi สีผมที่ช่างแต่ละคนทำออกมา
ก็มักจะ “ตรงปก” กับสีผมที่ลูกค้านำมาเป็นแบบ
เนื่องจากช่างจะทำการผสมสีขึ้นเองเสมอ
เพื่อให้สีตรงตามที่ลูกค้าต้องการ และเหมาะกับลูกค้าที่สุด
ก็มักจะ “ตรงปก” กับสีผมที่ลูกค้านำมาเป็นแบบ
เนื่องจากช่างจะทำการผสมสีขึ้นเองเสมอ
เพื่อให้สีตรงตามที่ลูกค้าต้องการ และเหมาะกับลูกค้าที่สุด
ที่สำคัญคือ การที่ร้าน Rapi-rabi ให้บริการเฉพาะการทำสีผม
จึงยังทำให้พนักงานที่ร้าน มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ
มีการให้คำปรึกษากับลูกค้าก่อนการทำสีผม ทำให้หมดปัญหาเรื่อง การฟอกผมเยอะเกินไปจนผมขาดและเสียสุขภาพ
จึงยังทำให้พนักงานที่ร้าน มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ
มีการให้คำปรึกษากับลูกค้าก่อนการทำสีผม ทำให้หมดปัญหาเรื่อง การฟอกผมเยอะเกินไปจนผมขาดและเสียสุขภาพ
นอกจากนี้ร้าน Rapi-rabi ยังใช้ “ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก” สูตรพิเศษของทางร้านที่ส่งตรงจากญี่ปุ่น
ทำให้ผมของลูกค้าไม่เสียเท่ากับการใช้ผลิตภัณฑ์จากสารเคมี
ทำให้ผมของลูกค้าไม่เสียเท่ากับการใช้ผลิตภัณฑ์จากสารเคมี
อีกเรื่องที่ทำให้ร้าน Rapi-rabi เป็นที่ถูกใจของลูกค้าหลายคน
คือ “ราคา” ที่มีความสมเหตุสมผล
คือ “ราคา” ที่มีความสมเหตุสมผล
ทางร้านจะบอกราคาการทำสีผมอย่างชัดเจน และจะคำนวณราคาทำผมตั้งแต่ก่อนเริ่มทำ ทำให้หมดปัญหาการบวกราคาเพิ่มในภายหลัง
ร้าน Rapi-rabi มีค่าบริการเริ่มต้นที่ 1,500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่สูง
เมื่อเทียบกับราคาทำสีผมร้านอื่นๆ และในราคานี้ ยังเป็นราคาที่รวมค่าทำทรีตเมนต์ เรียบร้อยแล้วอีกด้วย
เมื่อเทียบกับราคาทำสีผมร้านอื่นๆ และในราคานี้ ยังเป็นราคาที่รวมค่าทำทรีตเมนต์ เรียบร้อยแล้วอีกด้วย
ที่น่าสนใจคือ ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะรับบริการจัดแต่งทรงผมจากทางร้านหรือไม่
ซึ่งถ้าเราเลือกจัดแต่งทรงผมเอง ทางร้านก็จะไม่คิดค่าบริการเพิ่มในส่วนนี้
ซึ่งถ้าเราเลือกจัดแต่งทรงผมเอง ทางร้านก็จะไม่คิดค่าบริการเพิ่มในส่วนนี้
นอกจากเรื่องคุณภาพ และความสามารถพนักงานแล้ว
เรื่องความเป็นส่วนตัว ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
เรื่องความเป็นส่วนตัว ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
เนื่องจากการทำสีผม จะใช้เวลาค่อนข้างนานอย่างน้อย 2 ถึง 6 ชั่วโมง
ทำให้บางคนบอกว่า ร้านทำผมก็เหมือนสถานที่พบปะพูดคุยสำหรับสาวๆ
ทำให้บางคนบอกว่า ร้านทำผมก็เหมือนสถานที่พบปะพูดคุยสำหรับสาวๆ
แต่สำหรับลูกค้าบางคนก็ไม่ได้ต้องการเข้าร้านทำผมเพื่อมาคุยกับใคร
ร้าน Rapi-rabi จึงให้ความสำคัญกับเรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” กับลูกค้า
โดยบางสาขาที่นั่งทำผมจะมีกำแพงกั้นส่วนตัว ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนว่านี่เป็นโซนของตัวเอง
ร้าน Rapi-rabi จึงให้ความสำคัญกับเรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” กับลูกค้า
โดยบางสาขาที่นั่งทำผมจะมีกำแพงกั้นส่วนตัว ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนว่านี่เป็นโซนของตัวเอง
ร้าน Rapi-rabi ของคุณ PON ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
เพราะการเลือกที่จะเปิดร้านทำผมแบบเฉพาะทางของคุณ PON
ในขณะที่ร้านส่วนใหญ่เน้นไปที่บริการแบบครบวงจร
เพราะการเลือกที่จะเปิดร้านทำผมแบบเฉพาะทางของคุณ PON
ในขณะที่ร้านส่วนใหญ่เน้นไปที่บริการแบบครบวงจร
ก็ทำให้ทางร้านดูมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ
และถ้านึกถึงการทำสีผม ลูกค้าก็จะได้นึกถึง Rapi-rabi
และถ้านึกถึงการทำสีผม ลูกค้าก็จะได้นึกถึง Rapi-rabi
ซึ่งก็ถือว่ามาถูกทาง เพราะปัจจุบัน Rapi-rabi ก็สามารถขยายสาขาไปเรื่อยๆ
และกลายเป็นร้านที่ใครๆ ก็อยากไปต่อคิวเพื่อรับบริการ..
และกลายเป็นร้านที่ใครๆ ก็อยากไปต่อคิวเพื่อรับบริการ..
Reference:
-สัมภาษณ์ตรงกับคุณ PON เจ้าของร้าน Rapi-rabi
-สัมภาษณ์ตรงกับคุณ PON เจ้าของร้าน Rapi-rabi