เซนต์คิตส์และเนวิส ประเทศที่รายได้มากกว่าครึ่ง มาจากการขายสัญชาติประเทศตัวเอง
Business

เซนต์คิตส์และเนวิส ประเทศที่รายได้มากกว่าครึ่ง มาจากการขายสัญชาติประเทศตัวเอง

25 ก.พ. 2025
เซนต์คิตส์และเนวิส ประเทศที่รายได้มากกว่าครึ่ง มาจากการขายสัญชาติประเทศตัวเอง /โดย ลงทุนเกิร์ล
รู้หรือไม่ว่า ในปี 2023 รายได้กว่า 51% ของเซนต์คิตส์และเนวิส ถูกคาดว่ามาจากการขายสัญชาติประเทศตัวเอง
ผ่านโครงการที่ชื่อว่า Citizenship by Investment Programs แปลเป็นไทยว่า “โครงการรับสัญชาติผ่านการลงทุน” หรืออีกชื่อคือ Golden Passport
ไม่เพียงแค่เซนต์คิตส์และเนวิสเท่านั้น ประเทศอื่น ๆ อีก 4 ประเทศในแถบแคริบเบียน ก็กำลังขายสัญชาติตัวเอง เพื่อหาเงินเข้าประเทศเช่นกัน
ซึ่งรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ ก็ได้เงินหลัก 10,000 ล้านบาทต่อปีเข้าประเทศ จากโครงการนี้ด้วย
แล้วโครงการรับสัญชาติผ่านการลงทุน คืออะไร ?
รัฐบาลและคนที่ซื้อสัญชาติจะได้อะไรบ้าง ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่นต้องเล่าว่า เซนต์คิตส์และเนวิส (Saint Kitts and Nevis) เป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในแถบทะเลแคริบเบียน กับประชากรประมาณ 52,000 คน
โดยมีขนาดพื้นที่ประมาณ​ 261 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าจังหวัดที่เล็กที่สุดในไทยอย่างสมุทรสงครามถึง 1.6 เท่า
ด้วยความที่เป็นประเทศเกาะ ติดทะเล น้ำใส ธรรมชาติสวยงาม ที่ผ่านมารายได้หลักของประเทศก็คือการท่องเที่ยวและเกษตรกรรม
จนกระทั่งปี 1984 หลังเป็นอิสระจากอังกฤษ เซนต์คิตส์และเนวิส ก็เป็นประเทศแรกที่เริ่มโครงการขายสัญชาติ ที่เรียกว่า Citizenship by Investment Programs (CBI)
โดยเงื่อนไขก็คือ ผู้ที่อยากได้สัญชาติเซนต์คิตส์และเนวิส จะต้องเลือกระหว่าง
บริจาคเงินให้กองทุนพัฒนาเกาะอย่างยั่งยืน 8.7 ล้านบาท
หรือ บริจาคเงินให้โครงการของรัฐ 8.7 ล้านบาท
หรือ ลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ 11.3 ล้านบาท
หรือ ซื้อบ้านเดี่ยวราคา 21 ล้านบาท
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงจะมีคำถามว่า แล้วทำไมเราถึงต้องอยากได้สัญชาติของประเทศเล็ก ๆ นี้ด้วย ?
งั้นเรามาดูสิทธิพิเศษที่เราจะได้รับจากการถือสัญชาติประเทศนี้ 2 ข้อหลัก ๆ ที่น่าสนใจ
สามารถเดินทางเข้าประเทศในเขตเชงเกน สหราชอาณาจักร รัสเซีย จีน ไต้หวัน ซาอุดีอาระเบีย ฮ่องกง สิงคโปร์ กาตาร์ และประเทศอื่น ๆ รวมกันกว่า 150 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีความมั่งคั่ง, ภาษีมรดก และภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ (Capital Gains Tax)
นอกจากนั้นก็มีข้อดีทั่วไป เช่น สามารถส่งต่อสัญชาติไปยังคู่สมรสและบุตรหลานในอนาคต, เป็นประเทศที่มีสภาพอากาศดีตลอดปี, ได้ลงทุนในประเทศเล็ก ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูง สามารถทำธุรกิจท่องเที่ยวได้
และได้เป็นสมาชิกประชาคมแคริบเบียน (CARICOM) สามารถเดินทางไปอยู่อีก 6 ประเทศในแถบแคริบเบียนได้อย่างอิสระ ไม่ต้องขอวีซ่าและเอกสารใด ๆ
ปัจจุบันนอกจากเซนต์คิตส์และเนวิส ก็มีอีก 4 ประเทศในแถบแคริบเบียนที่ทำโครงการนี้เหมือนกัน ได้แก่ เซนต์ลูเชีย, ดอมินีกา, แอนทีกาและบาร์บิวดา, กรีเนดา
ซึ่งราคาแต่ละประเทศก็แตกต่างกันไป รวมถึงมีแพ็กเกจซื้อแบบครอบครัว เหมือนกับการซื้อขายสินค้าธรรมดา ๆ
โดยรัฐบาลแต่ละประเทศ ทำเงินจากโครงการนี้ได้ประมาณ 11,000-17,000 ล้านบาทต่อปี และนำเงินไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ เช่น สร้างสนามบิน ขุดลอกแม่น้ำ
หรืออย่างกรีเนดาก็นำเงินไปใช้สร้างเรือนจำ และสนับสนุนโครงการสวัสดิการสังคมให้แก่คนในประเทศ
แล้วใครบ้างที่ซื้อสัญชาติในประเทศเหล่านี้ ?
อ้างอิงจาก Bloomberg ในปี 2023 มีผู้คนกว่า 88,000 คนได้รับสัญชาติจาก 5 ประเทศในแถบแคริบเบียน และส่วนใหญ่เป็นชาวจีน รัสเซีย ไนจีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องขอวีซ่าในการไปประเทศอื่น ๆ หลายประเทศทั่วโลก
แต่อย่างประเทศที่พาสปอร์ตแข็งแรงอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีคนซื้อสัญชาติของประเทศเหล่านี้เช่นกัน เพราะการมีสัญชาติที่สองก็เป็นเหมือนแผนสำรอง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ความไม่สงบทางการเมือง
ปัจจุบัน แม้โครงการขายสัญชาติเกิดขึ้นจากความต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศขนาดเล็ก แต่ต้องเผชิญกับความกังวลจากประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับการฟอกเงินและอาชญากรรม
ทำให้ล่าสุด EU กำลังดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้อาชญากรใช้ช่องโหว่ของโครงการนี้ เข้ามาในประเทศของพวกเขาเพื่อทำสิ่งผิดกฎหมาย
ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าหากวันหนึ่ง หลายประเทศในยุโรปยกเลิกวีซ่าให้แก่พาสปอร์ตประเทศเหล่านี้ขึ้นมาจริง ก็คงส่งผลกระทบกับแหล่งรายได้ของประเทศเหล่านี้แน่นอน
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ
ดอมินีกา เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ใช้โครงการ CBI เพื่อหารายได้เข้าประเทศ
และอ้างอิงข้อมูลจาก The Washington Post รายได้จากการขายสัญชาติของดอมินีกา เป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ จนมีมูลค่าสูงกว่าภาษีภายในประเทศทั้งหมดที่รัฐเก็บได้เสียอีก..
© 2025 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.