Starface แบรนด์แผ่นแปะสิวรูปดาว เปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น จนกวาดรายได้พันล้าน
Business

Starface แบรนด์แผ่นแปะสิวรูปดาว เปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น จนกวาดรายได้พันล้าน

17 ก.ย. 2024
Starface แบรนด์แผ่นแปะสิวรูปดาว เปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น จนกวาดรายได้พันล้าน /โดย ลงทุนเกิร์ล
สิวเม็ดโต ๆ บนใบหน้า คงเคยทำให้ใครหลายคนขาดความมั่นใจ จนต้องหาอะไรมาปกปิดสิวไว้
แต่ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ไม่ได้มองว่า สิว คือเรื่องน่าอาย แถมหลายคนยังติดแผ่นแปะสิวสีสันสดใสของแบรนด์ “Starface” ทับลงบนสิว ที่โดดเด่นราวกับตะโกนให้ผู้คนได้รู้ว่า “ฉันเป็นสิว”
ซึ่งปัจจุบัน แบรนด์นี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนมีการคาดการณ์ว่าในปี 2024
Starface จะสามารถทำรายได้แตะ 3,000 ล้านบาท
เรื่องราวของ Starface น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ไอเดียของแบรนด์ Starface เกิดขึ้นในขณะที่คุณ Julie Schott ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ ทำงานให้กับนิตยสาร ELLE ในตำแหน่งบรรณาธิการความงาม
ในตอนนั้น คุณ Schott ได้รับแผ่นแปะสิวจากประเทศเกาหลีใต้มาใช้ ซึ่งเป็นแผ่นแปะวงกลมเล็ก ๆ ที่มีคุณสมบัติป้องกันสิ่งสกปรกจากภายนอก
ส่วนอีกด้านที่แปะกับหัวสิว ก็เป็นเจลไฮโดรคอลลอยด์ ช่วยดูดน้ำมันหรือของเหลวส่วนเกินบริเวณหัวสิว และช่วยให้การอักเสบของสิวบรรเทาลง
ประกอบกับในช่วงนั้น เทรนด์การใช้ฟิลเตอร์แต่งรูปกำลังเป็นที่นิยม และคุณ Schott ก็ชอบใช้ฟีเชอร์สติกเกอร์ลายน่ารัก ๆ บนอินสตาแกรม ถ่ายเซลฟีอยู่บ่อย ๆ
คุณ Schott จึงผุดไอเดียแผ่นแปะสิวรูปดาวสีเหลืองสดใส เหมือนกับการติดสติกเกอร์บนใบหน้าในชีวิตจริง และมีคุณสมบัติของแผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์
โดยแบรนด์ Starface เริ่มวางขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในปี 2019 ด้วยราคาเปิดตัวที่ค่อนข้างสูง ราว ๆ 750 บาท ทำให้กระแสตอบรับในช่วงแรกไม่ค่อยดีนัก
เพราะหลายคนมองว่าราคาสูงเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพของเจ้าอื่น ๆ ที่มีในตลาด
อีกทั้ง แผ่นแปะสิวในรุ่นแรกนั้น ยังมีคุณภาพมาตรฐานไม่ดีเท่าที่ควร เช่น แผ่นแปะสิวบางชิ้นบางเกินไป หรือบางชิ้นยังเกาะหน้าไม่ดี เมื่อใช้ระหว่างวัน
แม้ Starface จะต้องเจออุปสรรคตั้งแต่เริ่มต้น
แต่ปัจจุบัน Starface สามารถทำให้แผ่นแปะสิวรูปดาวกลับมาได้รับความนิยมได้
แล้ว Starface ทำได้อย่างไร ?
อันดับแรกคือ “นำฟีดแบ็กจากลูกค้ามาปรับปรุง”
หลังจากที่คุณภาพของแผ่นแปะสิวรุ่นแรก ยังไม่ได้มาตรฐาน คุณ Schott และผู้ร่วมก่อตั้ง จึงพัฒนาแผ่นแปะสิวให้เกาะผิวมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนปลายของดาวทั้ง 5 แฉก ที่สามารถแนบรับไปกับส่วนโค้งของใบหน้าได้ดีขึ้น
อีกทั้งมีการเพิ่มลวดลาย สีสันของดาว รวมถึงการไปคอลแลบกับแบรนด์อื่น เพื่อทำลวดลายลิมิเต็ดอิดิชัน เช่น Hello Kitty and Friends โดยผลิตแผ่นแปะสิวหน้าคิตตี้
นอกจากนี้ยังปรับราคาขายลง จาก 750 บาทต่อกล่อง เป็น 500 บาทต่อกล่อง พร้อมเพิ่มช่องทางขายบนเว็บไซต์ และห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Target และ CVS
ทั้งคุณภาพที่ดีขึ้น ราคาที่ถูกลง และช่องทางการขายที่มากขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ Starface สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างกลุ่ม Gen Z ได้มากขึ้น
ถัดมาคือ “ภาพลักษณ์ และคอนเซปต์ของแบรนด์ ที่ต่างจากแผ่นแปะสิวทั่วไปในตลาด”
หากมองเผิน ๆ สินค้าของ Starface เป็นเหมือนสติกเกอร์แฟชั่นสำหรับวัยรุ่น มากกว่าที่จะเป็นแผ่นแปะสิว
แต่จริง ๆ แล้ว Starface มีจุดยืนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง จนสามารถสร้างนิยามใหม่ของความงามได้อย่างน่าสนใจ
โดยคุณ Schott เผยว่า เธอมักจะเห็นสื่อสิ่งพิมพ์มากมาย นิยมตีพิมพ์สูตรอาหารลดน้ำหนัก หรือรูปผู้หญิงผิวใสไร้สิวบนปกนิตยสาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนความงามตามค่านิยมแบบเดิม ๆ
สิ่งเหล่านี้ เป็นแรงบันดาลใจให้คุณ Schott ตัดสินใจสร้าง Starface ขึ้นมา เพื่อก้าวข้ามนิยามความงามในรูปแบบที่ต่างจากเดิม และส่งเสริมให้ผู้คนมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
เพราะ “สิว” เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่ใคร ๆ ก็เคยเป็นกันทั้งนั้นและโอบรับการเป็นสิวอย่างมั่นใจ ไม่ต้องอายใคร
และด้วยตัวผลิตภัณฑ์ที่กินขาด ไปจนถึงคอนเซปต์ ที่ทรงพลังนี้เอง ถึงทำให้สปอตไลต์สาดแสงเข้าใส่ Starface
เห็นได้จากเหล่าเซเลบริตี อย่าง Justin และ Hailey Bieber ที่แปะ Starface ถ่ายรูปเซลฟีลงอินสตาแกรม
หรือจะเป็นน้อง North West ลูกของ Kim Kardashian ที่ไลฟ์กับคุณแม่ โดยแปะแผ่นแปะสิว Starface ขณะไลฟ์
อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ Starface ยังถูกนำมาดัดแปลงโดย คุณ Eva Maguire ที่สร้างวิดีโอลุคแต่งหน้าแนวกาแล็กซี
โดยติดแผ่นแปะสิว Starface ที่หางตาและบริเวณใบหน้า พร้อมทาอายแชโดว์ทับ พร้อมตั้งแคปชัน Acne should never stop you from slaying หรือ การเป็นสิวไม่ควรทำให้คุณหยุดปัง
ซึ่งวิดีโอนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่ม Gen Z และ Gen Alpha
นอกจากนี้ การนำแผ่นแปะสิวไปดัดแปลงใช้แต่งหน้า ยังเพิ่มความสนุกสนาน และแสดงให้เห็นว่า บางครั้ง ไม่จำเป็นจะต้องใช้แผ่นแปะสิวในบริเวณที่เป็นสิวเสมอไป
ส่งผลให้ Starface สามารถขายแผ่นแปะสิวได้มากกว่า 1,000 ล้านชิ้นในปีนี้ และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
เรื่องราวของ Starface เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า สิ่งของธรรมดาในชีวิตประจำวัน สามารถกลายเป็นไอเดียเจ๋ง ๆ ที่สร้างสรรค์แบรนด์ใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หากเราลองคิดนอกกรอบ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ลงไป อาจทำให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ที่อาจเปลี่ยนเทรนด์ค่านิยมในรูปแบบเดิม ๆ เหมือนอย่าง Starface ก็เป็นได้..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.