Business
VERTU สมาร์ตโฟนสุดหรู เครื่องละแสน ที่เคยเป็นของ Nokia มาก่อน
12 ก.ย. 2024
VERTU สมาร์ตโฟนสุดหรู เครื่องละแสน ที่เคยเป็นของ Nokia มาก่อน /โดย ลงทุนเกิร์ล
ถ้าให้ลิสต์รายชื่อแบรนด์ลักชัวรีในวงการแฟชั่น เครื่องสำอาง หรือแม้แต่รถยนต์ ที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง เราก็คงจะพอนึกออกแบบไว ๆ
แต่ถ้าถามถึงแบรนด์โทรศัพท์ หลายคนอาจจะต้องใช้เวลาคิด ว่ามีแบรนด์ไหนบ้างที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์
อย่าง iPhone 16 ราคาเครื่องละเกือบครึ่งแสนที่เพิ่งเปิดตัวมาก็ถือว่าแพงมากแล้วสำหรับมือถือเครื่องหนึ่ง
แต่ยังมีแบรนด์มือถืออีกหนึ่งเจ้า ที่แค่ราคาเริ่มต้นก็เหยียบแสนแล้ว..
แบรนด์นั้นก็คือ “VERTU” ที่มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 9 หมื่นบาทปลาย ๆ ไปจนถึงเครื่องละ 17 ล้านบาท
แล้วทำไม VERTU ถึงขายได้ราคาสูงกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
จริง ๆ แล้ว VERTU มีจุดเริ่มต้นใกล้ตัวเรากว่าที่คิด
โดย VERTU เป็นแบรนด์โทรศัพท์มือถือระดับไฮเอนด์
ถือกำเนิดขึ้นในปี 1998 หรือยุครุ่งเรืองของ Nokia เจ้าของโทรศัพท์ Nokia 3310 ในตำนาน
ถือกำเนิดขึ้นในปี 1998 หรือยุครุ่งเรืองของ Nokia เจ้าของโทรศัพท์ Nokia 3310 ในตำนาน
ซึ่ง Nokia ต้องการตีตลาดสินค้าลักชัวรี จึงเกิดเป็นแบรนด์ย่อยอย่าง VERTU ขึ้นมา
แต่ภายหลัง Nokia ก็ได้ขาย VERTU ให้กับ EQT VI บริษัทไพรเวตอิควิตีจากยุโรปเหนือ ในปี 2012 ก่อนจะถูกเปลี่ยนมืออีกหลายครั้ง
รวมถึง VERTU ได้เปลี่ยนจากการใช้ระบบปฏิบัติการ Symbian ของ Nokia มาเป็นระบบปฏิบัติการ Android ของ Google
แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้ VERTU ตั้งราคาได้สูงกว่าแบรนด์ทั่วไป ?
ข้อแรก คือ วัสดุพรีเมียมและเป็นงานทำมือ
VERTU มีจุดเด่นที่ดิไซน์เป็นเอกลักษณ์ และผลิตจากวัสดุหายาก ต่างจากมือถือทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น
-ปุ่มกดจากทับทิมหนัก 4.75 กะรัต
-หน้าจอจากกระจกแซฟไฟร์
-ตัวเครื่องจากอะลูมิเนียมเกรดที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
-หน้าจอจากกระจกแซฟไฟร์
-ตัวเครื่องจากอะลูมิเนียมเกรดที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
นอกจากนี้ ยังใช้วัสดุสุดพรีเมียมอย่าง ทอง เพชร ไปจนถึงหนังสัตว์ เช่น หนังลูกวัว และหนังจระเข้หิมาลัย
พร้อมประกอบขึ้นด้วยมือทุกขั้นตอน โดยช่างฝีมือมากประสบการณ์ ไม่ต่างอะไรกับการผลิตสินค้าแบรนด์หรูอย่าง นาฬิกาหรือเครื่องประดับ
ข้อสอง คือ เทคโนโลยีที่แตกต่าง
อย่างสมาร์ตโฟนรุ่น METAVERTU ที่รองรับการทำงานของเทคโนโลยี Blockchain พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Storage) ความจุ 10 เทราไบต์
และยังมีฟีเชอร์เปลี่ยนรูปภาพให้กลายเป็น NFT ไปจนถึง App Store เวอร์ชันรวบรวมแพลตฟอร์มฝั่งคริปโท ในชื่อ “Dappstore”
ยังไม่รวมแอปแช็ตที่มีระบบความปลอดภัยสูง และแอปอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยของข้อมูล
ข้อสุดท้ายที่ทำให้ผู้ใช้ VERTU รู้สึกพิเศษก็คือ บริการผู้ช่วยส่วนตัว หรือ Concierge Service ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 ปี
ไม่ว่าจะจองร้านอาหาร จองโรงแรม จองเที่ยวบิน หรือจองชมการแสดงต่าง ๆ ก็สามารถเรียกใช้ผู้ช่วยส่วนตัวได้
และ VERTU ยังเป็นพาร์ตเนอร์กับโรงแรมหรู รีสอร์ต หรือแม้แต่เกาะส่วนตัวมากกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก
ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสิทธิพิเศษอย่างเช่น Late Check-out หรืออัปเกรดห้องพักโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงจะพอเห็นภาพแล้วว่าแบรนด์ VERTU นั้นแตกต่างจากสมาร์ตโฟนทั่วไปอย่างไร
เพราะสิ่งที่ลูกค้า VERTU ได้รับนั้นมากกว่าแค่การซื้อมือถือมาใช้แล้วจบไป
แต่ยังเป็นการลงทุนในประสบการณ์และภาพลักษณ์ที่แบรนด์มอบให้
คล้ายกับที่สาวก Apple ยอมจ่ายเงินซื้อ iPhone ในราคาครึ่งแสนเพื่อนวัตกรรมของแบรนด์ ขณะที่หลายคนก็มองว่าเป็นราคาที่สูงเกินไปสำหรับโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่อง..
สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจของแต่ละคน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมสมาร์ตโฟนหลักแสนอย่าง VERTU ถึงยังขายได้อยู่..