The Summer Coffee Company จากโรงคั่วกาแฟในอยุธยา สู่แบรนด์ตัวท็อปของคอกาแฟ
Business

The Summer Coffee Company จากโรงคั่วกาแฟในอยุธยา สู่แบรนด์ตัวท็อปของคอกาแฟ

17 พ.ค. 2024
The Summer Coffee Company จากโรงคั่วกาแฟในอยุธยา สู่แบรนด์ตัวท็อปของคอกาแฟ /โดย ลงทุนเกิร์ล
โควิด 19 อาจเป็นฝันร้ายของหลายธุรกิจ
แต่ไม่ใช่สำหรับ The Summer Coffee Company โรงคั่วกาแฟในอยุธยา
ที่ได้รับอานิสงส์จากการกักตัวของผู้คน และหันมาซื้อ “เมล็ดกาแฟ” ไปชงดื่มที่บ้าน
ด้วยแพ็กเกจจิงสะดุดตา มาพร้อมกับชื่อเมล็ดกาแฟที่เข้าใจง่าย มองครั้งเดียวก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นกาแฟลักษณะใด เช่น Milk Man, Mr.Rum Raisin และ Morning Person ก็ทำให้ยอดขายของแบรนด์โตระเบิด
และเพียง 4 ปี The Summer Coffee Company ก็สามารถขยายธุรกิจเปิดคาเฟในอยุธยาถึง 3 แห่ง และอีก 2 สาขาใจกลางกรุงเทพฯ ที่ย่านตลาดน้อย และศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่ผู้คนก็ต่างรอคิวไม่แพ้กัน
ที่สำคัญยังเป็นแบรนด์กาแฟคุณภาพอันดับต้น ๆ ที่หลายคนนึกถึง
การันตีด้วยยอดขายเฉลี่ยต่อเดือนราว 10 ล้านบาทเลยทีเดียว
วันนี้ลงทุนเกิร์ล มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณโน้ต-ชุติมา อนันรยา และคุณกอล์ฟ-คณิน อนันรยา ผู้ก่อตั้ง The Summer Coffee Company ถึงเรื่องราวการเดินทางของแบรนด์ ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน
กว่าจะมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่มีวิธีในการบริหารธุรกิจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
The Summer Coffee Company คือ ธุรกิจร้านกาแฟ Specialty โรงคั่วกาแฟ รวมถึงจำหน่ายเครื่องชงกาแฟ
หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2561
คุณโน้ตและคุณกอล์ฟ เริ่มธุรกิจจากการทำโรงคั่วกาแฟเล็ก ๆ เป็นซัปพลายเออร์ ส่งให้กับร้านอาหารของตัวเองที่ชื่อว่า The Summer House ในจังหวัดอยุธยา
จนกระทั่งเกิดวิกฤติโรคระบาดในปี 2563 ที่ร้านค้าต้องปิดบริการชั่วคราว ทำให้ลูกค้าไม่สามารถมาดื่มกาแฟที่หน้าร้านได้ ทั้งคู่จึงเบนเข็มไปโฟกัสการขายกาแฟทางออนไลน์แทน
แต่ในช่วงนั้น ทั้งคู่ก็สังเกตเห็นว่าโรงคั่วกาแฟเจ้าใหญ่ในตลาด มักทำธุรกิจแบบ Business-to-Business (B2B) หรือทำการค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจด้วยกัน
แน่นอนว่าโรงคั่วกาแฟขนาดใหญ่ ย่อมมีกำลังการผลิตสูง และสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้มากกว่า ดังนั้น การจะทำสงครามราคากับเจ้าใหญ่จึงเป็นเรื่องยาก
เรื่องนี้เองทำให้คุณโน้ตและคุณกอล์ฟตัดสินใจ ทำธุรกิจแบบ Business-to-Customer (B2C) หรือการขายสินค้าให้กับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคทั่วไปโดยตรง ด้วยช่องทาง Social Media และ E-Commerce
หลังจากนั้นร่วมปี The Summer Coffee Company ก็สามารถสร้างฐานลูกค้าประจำจำนวนมาก ทั้งคู่จึงตัดสินใจเปิดคาเฟสาขาแรกขึ้นที่ย่าน Old Town ในจังหวัดอยุธยา
โดยคุณกอล์ฟเล่าว่า “เหตุผลที่เราเลือกเปิดคาเฟ เพราะอยากมีพื้นที่สร้างประสบการณ์ร่วมกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเมล็ดกาแฟที่พวกเขาซื้ออยู่ทุกเดือนนั้น เมื่อถูกนำมาเสนอโดยเจ้าของแบรนด์เอง จะออกมาในรูปแบบไหน”
จากนั้นเมื่อสาขาแรกประสบความสำเร็จ คุณโน้ตและคุณกอล์ฟก็เดินหน้าเปิดคาเฟอีก 2 สาขาในอยุธยา
ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็นำ The Summer Coffee Company มาทดลองตลาด ออกบูทในกรุงเทพฯ ตามงานนิทรรศการ และเปิด Pop-up ตามห้างฯ ทำให้พบว่ามีฐานลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่รอให้พวกเขามาเปิดร้านที่นี่
จนกระทั่งช่วงต้นปี 2567 นี้ The Summer Coffee Company ก็ได้เข้ามาเปิดคาเฟสาขาแรกในกรุงเทพฯ ที่ย่านตลาดน้อย และล่าสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา ก็เปิดอีกสาขาหนึ่งที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน
แล้ว The Summer Coffee Company
ทำอย่างไรถึงสามารถขยายกิจการได้ในเวลาอันรวดเร็ว ?
คำตอบก็คือ “การสื่อสารของแบรนด์ ที่ทำให้เข้าถึงง่าย ทั้งมือใหม่ และคอกาแฟ”
เริ่มจาก ทั้งคู่เล็งเห็น Pain Point ของผู้บริโภคจำนวนมาก ที่แม้จะสนใจเรื่องกาแฟ แต่ก็มักจะรู้สึกว่าคำศัพท์เกี่ยวกับกาแฟ เช่น ชื่อกระบวนการผลิต หรือระดับการคั่ว เป็นสิ่งที่ยาก จึงทำให้รู้สึกเขินอายที่จะสั่งกาแฟ
คุณกอล์ฟเสริมว่า ลองนึกภาพว่าเราไปซื้อกาแฟแล้วในร้านเขียนอธิบายเมนูยาว ๆ ว่า “เมล็ดกาแฟนี้มาจากคอสตาริกา ปลูกบนภูเขาความสูง xxx เมตรจากน้ำทะเล” ก็คงจะมีแต่คนในวงการกาแฟเท่านั้นที่เข้าใจ
Pain Point นี้เอง จึงกลายมาเป็นรากฐานของ The Summer Coffee Company ที่มีตัวตนของแบรนด์เป็นดั่งเพื่อนบาริสตาที่มีความรู้เรื่องกาแฟเชิงลึก แต่สามารถพูดคุยและอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย โดยมองผ่านประสบการณ์ของผู้บริโภคเป็นหลัก
โดยคุณกอล์ฟและคุณโน้ตตั้งใจที่จะลดความซับซ้อนในโลกของกาแฟ
และทำให้ลูกค้าอยากที่จะเข้าหาแบรนด์ด้วยความรู้สึกเข้าถึงง่าย
ซึ่งถ้าหากใครเคยเป็นลูกค้าของ The Summer Coffee Company
3 สิ่งหลัก ๆ ที่เราจะสัมผัสได้ทันที ก็คือ
แพ็กเกจจิงที่เข้าใจง่ายและเป็นที่จดจำ
เนื่องจากคุณโน้ตเรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ จึงใช้ความถนัดด้านการออกแบบ มาสร้างแพ็กเกจจิงสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ เข้าใจง่าย แต่ก็เป็นที่จดจำ จนไม่ว่าใครเห็นสินค้าวางขายที่ไหน ก็รู้ได้ว่ามาจากแบรนด์นี้
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น เมล็ดกาแฟคั่ว Milk Man ที่มีชื่อเมล็ดกาแฟเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่ว่า MILK MAN และกราฟิกรูปขวดนม ด้านหน้าซอง
เราก็จะเข้าใจได้ทันทีว่ากาแฟชนิดนี้เหมาะที่สุดกับการทำกาแฟนม
และเมื่อพลิกไปอ่านคำอธิบายด้านหลังซอง ก็ยังสามารถเข้าใจวิธีชงกาแฟได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย ในเทคนิคที่หลากหลาย
ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า
ไม่ว่าจะไปใช้บริการที่หน้าร้าน หรือสอบถามข้อมูลจากแอดมิน จาก The Summer Coffee Company ทุกคนจะต้องได้รับการบริการที่ใกล้เคียงกัน
เบื้องหลังความใส่ใจในการให้บริการ คือการเทรนด์พนักงานให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีความเฟรนลี ชักชวนให้คนสนใจกาแฟและเข้าใจผู้บริโภค
และเบื้องหลังความเข้าใจลูกค้า คือการวางระบบหลังบ้านโดยคุณกอล์ฟ ผู้ที่ใช้ความรู้จากการทำงานเป็นผู้บริหารในอุตสาหกรรมIT ถึง 8 ปี และมีการเก็บ Data อย่างเป็นระบบ เพื่อนำมาช่วยในการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย จนสามารถให้บริการอย่างตรงจุด
ซึ่งนี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าใหม่เกิดความประทับใจ ขณะที่ลูกค้าเก่าก็สามารถเปลี่ยนเป็นลูกค้าประจำได้ไม่ยาก
ยกระดับการซื้อขาย ให้กลายเป็น Community
The Summer Coffee Company ให้ความสำคัญในการพัฒนาการบริการที่ไม่ใช่แค่นำไปสู่การขาย แต่
การบริการทั้ง E-Commerce และร้านค้าจะมีการสอดแทรกคำแนะนำตลอดประสบการณ์การดื่มกาแฟของลูกค้า
เช่น แอดมินที่สแตนด์บายตอบคำถาม และคอยแนะนำลูกค้าตลอดเวลาเสมือนเพื่อน ทำให้แม้แต่ลูกค้าที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องของกาแฟในตอนแรก ก็สามารถเข้าใจ สนุก และเก่งในเรื่องกาแฟมากขึ้นตามไปด้วย
สำหรับเป้าหมายในอนาคต The Summer Coffee Company วางแผนเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นด้านการค้าปลีก ขยายสาขา และปล่อยสินค้าใหม่ ๆ มาให้ลูกค้าได้ลิ้มลองในเร็ว ๆ นี้
อ่านมาถึงตรงนี้ เราคงเข้าใจแล้วว่า ทำไม The Summer Coffee Company
ถึงประสบความสำเร็จภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมา
และยังทำให้เราเห็นว่า จริง ๆ แล้ว ในทุกวิกฤติอาจมีเรื่องที่ดีรออยู่
ขึ้นกับว่าเราจะหามันเจอและพร้อมที่จะใช้ประโยชน์ ในช่วงที่วิกฤติเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน
เหมือนดังคำพูดที่ว่า ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ..
Reference:
-สัมภาษณ์พิเศษกับคุณโน้ต-ชุติมา อนันรยา และคุณกอล์ฟ-คณิน อนันรยา ผู้ก่อตั้งแบรนด์ The Summer Coffee Company
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.