ส่องธุรกิจ alo แบรนด์ชุดโยคะจาก LA ที่เป็นมากกว่าชุดออกกำลังกาย
Business

ส่องธุรกิจ alo แบรนด์ชุดโยคะจาก LA ที่เป็นมากกว่าชุดออกกำลังกาย

21 ก.พ. 2024
ส่องธุรกิจ alo แบรนด์ชุดโยคะจาก LA ที่เป็นมากกว่าชุดออกกำลังกาย /โดย ลงทุนเกิร์ล
เสื้อผ้าสไตล์ Athleisure หรือการแต่งตัวแนวสปอร์ต ๆ ในชีวิตประจำวัน ยังคงเป็นเทรนด์แฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
แต่การเลือกไอเทมที่ดูคล่องตัวอย่าง สนีกเกอร์ สปอร์ตบรา หรือกางเกงเลกกิง มาแมตช์เข้ากับเสื้อผ้าสไตล์อื่น ๆ ให้ดูดี ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แล้วเราจะแต่งตัวสไตล์สปอร์ตอย่างไร ให้ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งออกมาจากยิม ?
วันนี้ลงทุนเกิร์ลจะพามารู้จัก “alo” แบรนด์ชุดโยคะสไตล์ Athleisure จากลอสแอนเจลิส ที่เป็นที่นิยมในหมู่เซเลบริตี ไม่ว่าจะเป็น คุณ Kendall Jenner, คุณ Gigi Hadid และคุณ Hailey Bieber ที่หยิบไปสวมใส่จนกลายเป็นไวรัลอยู่บ่อยครั้ง
แบรนด์ alo น่าสนใจอย่างไร ?
แล้วทําไมถึงเป็นแบรนด์ชุดโยคะที่เซเลบริตีเลือกใส่ ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
alo คือแบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกาย จากสหรัฐอเมริกา
ที่ก่อตั้งโดยสองเพื่อนซี้ อย่างคุณ Danny Harris และ คุณ Marco DeGeorge
ซึ่งจุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกิจกรรมที่ผู้ก่อตั้งชื่นชอบร่วมกัน นั่นก็คือ “โยคะ”
บวกกับประสบการณ์ในธุรกิจเสื้อผ้าของทั้งคู่ จนเกิดเป็นแบรนด์ “alo” ขึ้น ในปี 2007
โดย alo ถูกวางแบรนดิง ให้เป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาระดับพรีเมียม โดยจะมีราคาอยู่ที่หลักหลายพันบาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท เช่น
7/8 High-Waist Airbrush Legging เลกกิงเอวสูง ราคา 3,700 บาทAirlift Line Up Bra สปอร์ตบรา ราคา 2,950 บาทCashmere Ma Cherie Puffer เสื้อกันหนาวแคชเมียร์ ราคา 71,700 บาท
แม้ว่าราคาสินค้าของแบรนด์ alo จะสูงกว่าแบรนด์ทั่วไปในท้องตลาดหลายเท่า แต่สินค้าของแบรนด์นี้ ก็ยังเป็นที่นิยมในคนหลายกลุ่ม
เนื่องจากสินค้าของ alo ขึ้นชื่อเรื่องสไตล์ที่ดูเรียบ ๆ และดิไซน์ที่ทันสมัย
อีกทั้งยังสามารถสวมใส่ได้ทั้งตอนออกกำลังกาย และใส่ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกได้อย่างมีสไตล์ หรือที่แบรนด์เรียกว่า “Studio-to-Street”
เห็นได้จากเซเลบริตีชื่อดัง อย่างคุณ Kendall Jenner, คุณ Gigi Hadid หรือคุณ Hailey Bieber ที่แมชต์กางเกงเลกกิงของแบรนด์ alo กับเสื้อยืดกันอยู่บ่อย ๆ จนเป็นกระแสโด่งดังในโซเชียลมีเดีย
ที่น่าสนใจก็คือ ปัจจุบัน ไลน์สินค้าของ alo ก็ไม่ได้มีแค่เสื้อผ้าออกกําลังกายเท่านั้น แต่ยังมีอุปกรณ์ออกกําลังกาย, เครื่องประดับ, เสื้อผ้าแนวสตรีตแวร์ ไปจนถึงสกินแคร์ เลยทีเดียว
นอกจากนี้ alo ยังสร้างคอมมิวนิตี ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ และร่วมสร้างประสบการณ์กับแบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น ผ่านการจัดงานอิเวนต์คลาสออกกําลังกาย ทั้งตามสถานที่ต่าง ๆ และบนเว็บไซต์อีกด้วย
เรียกได้ว่า alo เป็นหนึ่งในแบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกาย ที่ประสบความสำเร็จ แถมยังเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว หลังก่อตั้งแบรนด์ได้เพียง 17 ปี เท่านั้น
โดยในปี 2023 alo ยังมีแผนจะขยายสาขาไปทั่วโลก รวมทั้งสิ้นกว่า 100 สาขา
และเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา alo ก็ได้เปิดสาขาแรกในประเทศไทย ที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ถือเป็นสาขาแรกในทวีปเอเชีย
ซึ่งช่วงเวลานั้น ก็เป็นช่วงที่แบรนด์ lululemon มาเปิดสาขาแรกในไทย เช่นกัน
เรียกได้ว่า ทั้ง 2 แบรนด์นี้ มีความคล้ายกันอย่างมาก ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ คุณภาพสินค้า ราคา หรือกลุ่มลูกค้า ที่เน้นเจาะกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง
จนหลายคนมีคําถามว่า alo จะสามารถเทียบเคียงกับ lululemon ได้หรือไม่ ?
ลองมาเปรียบเทียบตัวเลขระหว่าง alo และ lululemon กัน
ปี 2022 alo มียอดขายราว ๆ 40,000 ล้านบาท
และปัจจุบัน มีสาขา 84 สาขาทั่วโลก
ปี 2022 lululemon มียอดขายราว ๆ 300,000 ล้านบาท
และปัจจุบัน มีสาขามากกว่า 655 สาขาทั่วโลก
โดย lululemon อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ
มีมูลค่าบริษัทราว 2 ล้านล้านบาท
ซึ่งมูลค่าดังกล่าว ใหญ่กว่าทุกบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยเสียอีก
ขณะที่ alo ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
จากตัวเลขจะเห็นได้ว่า alo กําลังอยู่ในช่วงขยายตัว ซึ่งตามหลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง lululemon อยู่พอสมควร
แต่ในขณะเดียวกัน หลายคนมองว่า alo เป็นแบรนด์ธุรกิจเสื้อผ้าที่น่าจับตามองในอนาคต
ทั้งยอดขาย, กลยุทธ์การต่อยอดสินค้า, การสร้างคอมมิวนิตีร่วมกับกลุ่มลูกค้า รวมถึงการเลือกเซเลบริตีชื่อดัง มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์
เรื่องนี้ก็น่าติดตามต่อไปว่า lululemon จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำไว้ได้ไหม
หรือ alo จะกลายมาเป็นแจ็กผู้ฆ่ายักษ์ ได้สำเร็จ..
© 2024 Longtungirl. All rights reserved. Privacy Policy.