News
<อัปเดต> ทำไมราคาหุ้น Estée Lauder ถึงบวก 15% ภายในวันเดียว ทั้ง ๆ ที่ยอดขายและกำไรลดลง
6 ก.พ. 2024
ล่าสุด บริษัท Estée Lauder บริษัทความงามที่ใหญ่ อันดับ 2 ของโลก
เจ้าของแบรนด์ความงาม เช่น M·A·C, Bobbi Brown, La Mer รวมไปถึง Jo Malone
ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (ครอบคลุมตุลาคม-ธันวาคม 2023)
โดยมียอดขายอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท ลดลงราว 7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
กำไรสุทธิ 11,000 ล้านบาท ลดลงราว 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ เกิดจากยอดขายและกำไรที่ลดลง มีผลมาจาก
- ยอดขายในเอเชียลดลง โดยหลัก ๆ แล้ว เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีนที่ช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ รวมถึงการหยุดชะงักทางธุรกิจในประเทศอิสราเอล และประเทศอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง
- ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น จากการเข้าซื้อแบรนด์ TOM FORD ด้วยมูลค่าสูงเกือบ 100,000 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 และผลกระทบจากการแปลงสกุลเงินต่างประเทศ
- อัตราภาษีที่สูงขึ้นถึง 37.6% เทียบกับ 25.4% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่สำคัญก็คือ สินค้าเกือบทุกหมวดหมู่ มียอดขายลดลง ดังนี้
- หมวดสกินแคร์ ยอดขายลดลง 10%
- หมวดเครื่องสำอาง ยอดขายลดลง 8%
- หมวดดูแลเส้นผม ยอดขายลดลง 6%
- หมวดน้ำหอม ยอดขายทรงตัว เนื่องจากได้รับแรงหนุน จากยอดขายแบรนด์ Le Labo และ Jo Malone London
อย่างไรก็ตาม คุณ Fabrizio Freda CEO ของ Estée Lauder ได้เปิดเผยแผนการดำเนินงานในปี 2024 โดยการปรับกลยุทธ์ตามโครงสร้างหลายประการ ในช่วงครึ่งปีแรก เช่น
การจัดการค่าใช้จ่ายที่เคร่งครัดขึ้น โดยบริษัทกำลังเร่งขยายแผนการกู้คืนกำไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่องบประมาณปี 2025 และปี 2026
อีกทั้งประกาศปรับลดพนักงาน 3-5% หรือราว ๆ 3,000 ตำแหน่ง จาก 62,000 ตำแหน่งทั่วโลก
ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เช่น Amazon, Citigroup และ Alphabet ก็ได้ทำการปรับลดพนักงานเช่นกัน
โดยบริษัทคาดว่า แผนการปรับโครงสร้างและการปรับลดพนักงาน จะสามารถผลักดันกำไร จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นราว 39,000-50,000 ล้านบาท และคาดว่ายอดขายในอนาคต จะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1%
สรุปแล้ว จากการที่ผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด ลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และบริษัทออกมาประกาศปลดพนักงาน ทำให้ราคาหุ้นของบริษัท Estée Lauder ในคืนที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นราว 15%
อย่างไรก็ตาม หากเรามองในภาพที่กว้างขึ้น ผลประกอบการโดยรวมของบริษัท ยังถือว่าไม่ฟื้นตัวกลับดีเท่าที่ควร หากเทียบกับผลประกอบการในปีก่อน ๆ
จากเรื่องนี้เองทำให้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของบริษัท ก็ร่วงลงไปกว่า 41% เป็นที่เรียบร้อย..
References: