RiFF Studio x ลงทุนเกิร์ล

ถ้าถามว่า แอนิเมชันไทยเรื่องล่าสุด ที่ดูในโรงภาพยนตร์คือเรื่องอะไร ?
หลายคนอาจนึกไม่ออก หรือ ชื่อที่นึกออกก็เป็นผลงานที่ได้ชม เมื่อหลายปีมาแล้ว

ส่วนหนึ่งอาจเพราะ ที่ผ่านมา ผลงานแอนิเมชันบ้านเรา ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อย
เพราะกว่าจะได้ผลงานแอนิเมชัน ที่เรานั่งดูประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ในโรงภาพยนตร์ 
ต้องใช้ทุนและทีมงานมหาศาลไม่พอ ยังต้องใช้เวลาอีก 3-5​ ปี กว่าจะสร้างเสร็จ

ดังนั้น พอมีแอนิเมชันฟอร์มยักษ์ ฝีมือคนไทย อย่าง “นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์” 
ซึ่งถือเป็นแอนิเมชันเรื่องแรกในรอบ 5 ปี กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ จึงกลายเป็นกระแส ที่หลายคนให้ความสนใจ และตั้งตารอ

เพราะนอกจากจะเป็นแอนิเมชันแอ็กชัน-ไซไฟ ฟอร์มยักษ์สัญชาติไทยเรื่องแรกในประวัติศาสตร์
แอนิเมชันเรื่องนี้ยังหลอมรวมความพิเศษไว้มากมาย ตั้งแต่งบประมาณในการสร้างที่สูงถึง 200 ล้านบาท ใช้เวลาสร้างถึง 3 ปี เสริมทัพด้วยทีมงานกว่า 300 ชีวิต 

แถมยังได้นักแสดงแถวหน้าอย่าง คุณเบลล่า-ราณี แคมเปน มาพากย์เสียงภาพยนตร์แอนิเมชันเป็นครั้งแรกในชีวิตกับบทบาท “สีดา”

เพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง ก่อนจะไปชมนักรบมนตรา ในโรงภาพยนตร์
ลงทุนเกิร์ลจะพาทุกคนไปพูดคุยแบบเจาะลึกกับ คุณพีท-สรพีเรศ ทรัพย์เสริมศรี และคุณตุลย์-วีรภัทร ชินะนาวิน แห่ง RiFF Studio สองผู้อยู่เบื้องหลังในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการแอนิเมชันไทย

เอ่ยชื่อ RiFF Studio บริษัทสัญชาติไทยที่รับผลิตแอนิเมชัน รวมถึงโปรดักชันส์ที่เกี่ยวกับ TV Series, Feature Films, Games, Commercials และ Visual Effects มากว่า 10 ปี บางคนอาจพอคุ้นหู 

แต่ถ้าบอกว่า RiFF Studio คือ ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานชื่อดังมากมาย 
เช่น แอนิเมชันในเรื่อง เมย์ไหน.. ไฟแรงเฟร่อ และกาชาปอง โซระจัง ฟิกเกอร์สาวน้อยเกาะขอบแก้วน้ำ ในภาพยนตร์เรื่อง แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว ของค่าย GDH 

รวมถึงงานต่างประเทศ เช่น Lego Commercial Mini Movie, Bloody Bunny และ The Force of Will 1 ตอน จาก 5 ตอน อยากนำแอนิเมชันไทยไปสู่สายตาคนทั่วโลก

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยผ่านตาผลงานของ RiFF Studio 
แต่ครั้งนี้ RiFF Studio มาในบทบาทใหม่ ในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน 

คุณตุลย์ บอกว่า ตั้งแต่เปิดบริษัท ก็มีไอเดียว่าอยากจะสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส ที่ผ่านมา ได้แต่สั่งสมไอเดียไว้มากมาย เพื่อรอวันหยิบมาต่อยอด

กระทั่งเกิดสถานการณ์โควิด 19 ที่ทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ หลายๆ โปรเจกต์เริ่มชะลอ
เลยปรึกษากับทีม และคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้เริ่มโปรเจกต์แอนิเมชัน ที่อยากทำมาตลอด 

“เราเริ่มจากสิ่งที่เราชอบและถนัด โดยใช้ความรู้และประสบการณ์จากการทำแอนิเมชันให้ทั้งบริษัทไทยและต่างชาติมากมาย มาทำของตัวเอง ในแบบที่เราสนใจ ไม่มีบรีฟ เพราะใช้ทุนตัวเองประมาณ 200 ล้านบาท”

โดยเหตุผลที่เลือกทำแอนิเมชันแนวแอ็กชัน-ไซไฟ 
คุณพีท ในฐานะผู้เขียนบท​ ​เฉลยว่า มาจากความชื่นชอบส่วนตัว 
ที่นอกจากจะเติบโตมากับแอนิเมชันญี่ปุ่น เจ็ดยอดมนุษย์ หนัง Marvel 

บวกกับชอบอ่านนิยายไซไฟ ศึกษาเกี่ยวกับอวกาศ เลยนำมาหลอมรวมกับความชอบด้านวรรณคดีไทย เลยนำเรื่องราวของรามเกียรติ์มาเป็นแรงบันดาลใจ

“เราพยายามตีความรามเกียรติ์ให้เข้ากับยุคสมัย ในมุมมองที่แตกต่าง​
ดังนั้นไม่ว่าจะผู้ชมจะเป็นแฟนวรรณคดี หรือคนที่อาจจะไม่เคยอ่านรามเกียรติ์มาก่อน ดูแล้วสนุกแน่นอน 

เพราะคนที่เป็นแฟนวรรณคดี ก็อาจจะได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงหรือไม่เคยรู้ 
ส่วนคนที่ไม่เคยดู ก็จะได้ดื่มด่ำกับความเป็นวรรณคดีที่มีความร่วมสมัย​” คุณพีทเสริม

ในส่วนของโปรดักชันส์และการออกแบบคาแรกเตอร์
คุณตุลย์ บอกว่า ยังคงจุดเด่นของ RiFF Studio คือ มีการผสมผสานความเป็นตะวันตกและตะวันออกไว้ด้วยกัน 

ที่สำคัญยังมีการใส่ความเป็นไทยร่วมสมัย ​เช่น เมนูข้าวกะเพราหมูกรอบไข่ดาว ส้มตำ ไก่ย่าง ยาดอง รถสองแถว
เพราะอยากให้แอนิเมชันเรื่องนี้ เป็นตัวแทนในการนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ของไทยไปยังผู้ชมทั่วโลก 

สำหรับความคาดหวังสำหรับแอนิเมชันเรื่องแรกในชีวิต 
คุณตุลย์ตอบแบบไม่กั๊กว่า “ขอแค่ไม่ขาดทุน ก็แฮปปีแล้ว”

เพราะด้วยทุนในการสร้าง เฉพาะที่ลงทุนเอง 200 ล้านบาท 
ถ้าจะให้เท่าทุนหรือกำไร ต้องทำรายได้จาก Box Office อย่างน้อย 400 ล้านบาท 

นั่นหมายความว่า นักรบมนตรา ต้องติดท็อป 10 ภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทย
ซึ่งโอกาสยากพอ ๆ กับถูกลอตเตอรี

เพราะฉะนั้น ขอแค่ไม่ขาดทุน แต่กำไรในการสร้าง Awareness ให้มากที่สุด 
เพื่อที่นักรบมนตรา จะได้สามารถต่อยอดไปสร้างฐานแฟนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

“จะเห็นว่า เราวางกลยุทธ์มาอย่างดี ด้วยการเปิดตัวโปรเจกต์นักรบมนตรา ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว 
มีการปล่อย MV เพื่อสร้างฐานแฟน และทำให้กลายเป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง​

จนวันนี้ ที่กำลังจะเข้าฉาย​ นอกจากการโปรโมตตามปกติ 
เรายังวางแผนต่อเนื่องไว้แล้วว่า จะไปตีตลาดต่างประเทศอย่างไร 
จะต่อยอดคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ไปสู่การทำเป็นสินค้า เกม หรือนำไป Collab กับแบรนด์อื่น ๆ ได้อย่างไร”

อย่างไรก็ตาม หนทางจากนี้ จะโรยด้วยกลีบกุหลาบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับก้าวแรก คือ กระแสตอบรับจากคนไทย
เพราะอย่างน้อยถ้ากระแสดี ก็เหมือนเป็นใบเบิกทาง ที่ทำให้ก้าวต่อไปได้ง่าย

ด้านคุณพีท เสริมว่า เพราะมีความฝันว่าอยากให้ประเทศไทยมีซูเปอร์ฮีโรเป็นของตนเอง เหมือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ และเป็นจุดเช็กอินสำคัญในไทยได้ เลยเลือกนำตัวละครจากรามเกียรติ์มาเป็นแกนหลัก

“ตอนนี้เราเริ่มทำหุ่นจำลองหนุมานขนาด 3 เมตร เพื่อไปโปรโมตแอนิเมชันตามสถานที่ต่าง ๆ 
เราก็ฝันว่า ในอนาคตอาจจะมีหุ่นหนุมาน 8 เมตร เหมือนกับกันดั้มของญี่ปุ่น ตั้งเป็นแลนด์มาร์ก ให้นักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยอยากมาเช็กอินและถ่ายรูป”

ส่วนในแง่ธุรกิจ นักรบมนตรา ถือเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ดีของบริษัท ในการนำไปต่อยอด และสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า

หลังจากนี้ คุณพีท บอกว่าอาจจะมีโปรเจกต์อื่น ๆ ตามมา 
ส่วนจะมีภาคต่อมั้ย อยากให้รอติดตาม เพราะตอนจบของเรื่อง ตั้งใจเขียนบทมาให้จบแบบฟิน แต่อยากดูต่อ

ด้านคุณตุลย์​ กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า หวังว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ จะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการแอนิเมชันไทย
เหมือนกับที่ในอดีต ภาพยนตร์เรื่ององค์บาก เคยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ไทย ในสายตาชาวโลก

“ผมอยากพัฒนางานด้านแอนิเมชันในไทยให้ก้าวไปสู่ระดับโลก 
และตั้งใจให้ นักรบมนตรา ช่วยเซตมาตรฐานแอนิเมชันที่เป็นเอกลักษณ์แบบไทย สู่สายตาชาวโลก

ถึงได้บอกว่า​ โปรเจกต์นี้ต่อให้เราทำแล้วไม่กำไร ก็ไม่เป็นไร เราก็แค่ขาดทุน แต่เราไม่ได้เจ๊ง
ต่อให้เราไม่ทำ บริษัทของเราก็ยังไปต่อ แต่อาจจะเดินช้าลง
แต่ถ้าทำ หมายความว่า เรามีโอกาสประสบความสำเร็จ จะมากหรือน้อยก็อีกเรื่อง 
แต่ถ้าไม่ลงมือทำอะไร เพราะไม่อยากแบกรับความเสี่ยง โอกาสของผมจะเท่ากับ​​ศูนย์” 

เอาเป็นว่า ใครที่อยากเป็นส่วนเล็ก ๆ ในการผลักดันแอนิเมชัน ฝีมือคนไทย
11 ตุลาคมนี้ เคลียร์คิวให้พร้อม แล้วไปท้าพิสูจน์พร้อมกันในโรงภาพยนตร์ ว่าแอนิเมชันฝีมือคนไทยก็มีดีไม่แพ้ใคร 

Reference :
-สัมภาษณ์โดยตรงคุณพีท-สรพีเรศ ทรัพย์เสริมศรี ผู้บริหาร บริษัท RiFF Studio และเจ้าของบทประพันธ์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้าง “นักรบมนตรา” และ คุณตุลย์-วีรภัทร ชินะนาวิน ผู้บริหารบริษัท RiFF Studio ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้อำนวยการสร้าง “นักรบมนตรา”